ต้นทุนที่ดินปรับตัวสูงต่อเนื่องในปี2567ประกอบกับเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านหรูลดลง สะท้อนจาก บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัท วิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดผลวิจัย ตลาดบ้านพรีเมี่ยมเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวจากปัจจัยที่ท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ จากก่อนหน้านี้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2565
หรือตั้งแต่ช่วงหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผู้ประกอบการปรับตัวให้ตอบสนองกับความต้องการผู้บริโภคในกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อสูง ส่งผลทำให้ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ปี 2567 มีโครงการเปิดตัวใหม่สะสมทั้งหมด 79 โครงการ จำนวน 4,710 หน่วย คิดเป็น มูลค่า 105,426 ล้านบาท คงที่ในส่วนของจำนวนโครงการ แต่ลดลงในด้านหน่วยและมูลค่า 8% และ 14%ตามลำดับ
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 79 โครงการ 5,102 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 122,025 ล้านบาท แต่ในด้านกำลังซื้อเร่ิมชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัว ที่่่ 9% ในปี 2567 ขณะที่ปี 2566 มีอัตราการขายได้อยู่ที่ 13% โดยโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2567 เป็นประเภทบ้านเดี่ยว คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 89% ของหน่วยเปิดตัวทั้งหมด
โดยผู้ประกอบการเน้นพัฒนาโครงการในระดับราคามากกว่า 20 ล้านบาทต่อหน่วย และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกจากปัจจัยเรื่องราคาที่ดินรวมถึงแปลงที่ดินที่เหมาะต่อการพัฒนาโครงการที่หาได้ยากมากขึ้นโดยบ้านพรีเมี่ยมเปิดตัวสะสมและมีหน่วยขายได้สูงสุดในไตรมาส 3 (เดือนกรกฎาคม-กันยายน) ในทำเลราชพฤกษ์
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ แอล ดับเบิลยู สะท้อนว่า นอกจากการเปิดตัวโครงการบ้านพรีเมี่ยมมีแนวโน้มลดลงแล้ว คาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2567 โครงการดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะใกล้เคียงกับปี 2566 คือประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท หรือ อาจจะลดลงประมาณ 3-5% จากปี 2566
เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และไม่มีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี หลังจากที่ยอดโอนกรรมสิทธิที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปี 2567 อยู่ที่ 452,136 ล้านบาท ลดลง 5.7% จากระยะเดียวกันของปี 2566” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ขณะในส่วนของตลาดบ้านพักอาศัย ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท การเปิดตัวโครงการทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่าลดลงเช่นเดียวกันกับตลาดอาคารชุด โดยเปิดตัวใหม่สะสม 9 เดือนแรก (มกราคม - กันยายน) ปี 2567 จำนวนทั้งหมด 132 โครงการ จำนวน 21,620 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 96,034 ล้านบาท ลดลง 22%, 31% และ 27% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ซึ่งมีจำนวน 170 โครงการ 31,345 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 130,847 ล้านบาท สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มชะลอตัวลงมาตั้งแต่ช่วงปีก่อนหน้า ในขณะที่อัตราการขายบ้านพักอาศัย ณ วันเปิดตัวโครงการ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 8% เพิ่มขึ้นจากอัตราเฉลี่ยที่ 7% ในระยะเดียวกันของปี 2566
ส่วนบ้านพักอาศัยที่มีการเปิดตัวโครงการมากสุดเป็นกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ คิดเป็นสัดส่วน 51% ของจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ทั้งหมด ตามมาด้วย บ้านเดี่ยวคิดเป็นสัดส่วน 29% และ บ้านแฝดเป็นสัดส่วน 20% โดยในช่วงไตรมาส 3 นี้ (เดือนกรกฎาคม-กันยายน) มีหน่วยเปิดตัวสะสมสูงสุดในทำเลพระราม 2 - มหาชัย แต่มีหน่วยขายได้สะสมสูงสุดในทำเลรังสิต - ปทุมธานี เนื่องจากปัจจัยเรื่องราคา ที่ยังสามารถเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้