วันนี้ (2 เม.ย.) นายฉาย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป ประธานในวันเปิดตัวหลักสูตร Digital Tranformation For CEO#3 กล่าวว่า หลักสูตร DTC วันนี้เป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งล้วนเกิดจากประสบการณ์ตรงขององค์กรเครือเนชั่นฯ จากผลของดิจิทัล ดิสรัปชั่น ที่กระทบต่อองค์กรส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้เสพสื่อและผู้บริโภคสื่อที่ลดลงอย่างฉับพลัน งบโฆษณาสิ่งพิมพ์ปี 2559 จากยอด 13,000 ล้านบาทลดเหลือ 3,800 ล้านบาทใน 4 ปี
ดังนั้น ถ้าผู้บริหารไม่ปรับตัว ปรับยุทธศาสตร์ จะรับมืออย่างไร จะนำพาองค์กรไปอย่างไร ดิจิทัล ดิสรัปชั่น จะส่งผลถถึงท่านอย่างไร การเข้ามายังหลักสูตรนี้ จึงถือเป็นกำลังสำคัญหรือฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
"ผมต้องขอขอบคุณนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ให้เกียรติมาร่วมเปิดงาน โดยส่วนตัวเชื่อว่ารัฐมนตรีชัยวุฒิจะนำพานโยบายในการขับเคลื่อนประเทศผ่านกระทรวงดีอีเอสได้เป็นอย่างดี"
ขณะที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่าหลักสูตร DTC ถือว่าเป็นหลักสูตรที่เป็นที่ยอมรับของคนในวงการเพื่อหาความรู้ในการประกอบอาชีพให้ประสบความสำเร็จต่อไป โดยสภาพที่เป็นอยู่ก็เชื่อว่าการเมืองน่าจะอยู่ครบปี เพราะมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอีกมาก ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปัจจุบันน่าจะดีขึ้น
ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก รวมถึงเรื่องของดิจิทัล ดิสรัปชั่นที่ทำให้ทุกหน่วยงานและองค์กรต้องปรับตัวอย่างรุนแรง หรือแม้แต่การค้าขาย ที่มีการปรับตัวไปอย่างมาก จากการแพร่ระบาดของโควิดที่เป็นตัวเร่งให้กระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ และบริษัท เอ็มเฟค จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC จัดการอบรมหลักสูตร Digital Transformation for CEO รุ่นที่ 3
โดยนาย ฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่นมัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้รุ่นที่ 3 ได้รับเกียรติจาก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมคนใหม่ (DES) มาร่วมบรรยายและเปิดหลักสูตร ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างมาก สำหรับหลักสูตรนี้เกิดจากประสบการณ์ตรงขององค์กรสื่อเครือเนชั่น ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างมีนัยยะสำคัญที่เรียกว่า Digital Disruption ซึ่งองค์กร Nation ก็จบปัญหานี้อย่างรุนแรงเมื่อ 4 ปีก่อน ส่งผลให้ผู้เสพสื่อ ผู้บริโภคสื่อ และผู้ใช้งบงบโฆษณา เปลี่ยนแปลงฉับพลัน ผลกระทบคืองบโฆษณาทางสื่อสิ่งพิมพ์ปี 2016 จากยอด 13,800 ล้านบาท ลดลงเหลือ 3,800 ล้าน หายไปหายไป 75% ในช่วง 4 ปี
ดังนั้นถ้าผู้บริหารองค์กรไม่ปรับตัว ไม่เรียนรู้ ไม่ปรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ จะรับมืออย่างไรหรือจะนำพาองค์กรอย่างไร ดังนั้นจุดประสงค์ของหลักสูตรนี้ เพื่อให้ผู้บริหารที่อยู่ในห้องนี้จากทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่า ได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกนี้จะส่งผลอย่างไร และทุกคนเป็นกำลังสำคัญ เป็นฟันเฟืองหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น SME หรือบริษัทขององค์กรเอกชนต่างๆ ถ้าทุกองค์กรแข็งแรง ประเทศชาติก็แข็งแรง จะช่วยงานของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมกันนี้ขอขอบคุณรัฐมนตรีอีกครั้งที่กล้าหาญและเสียสละมาเปิดหลักสูตร (กล่าวติดตลก) เพราะจากสถิติใน 2 รุ่นที่ผ่านมา รองนายกฯ และรัฐมนตรีที่มาเปิดหลักสูตรไป 2 รุ่นแล้ว ปัจจุบันก็ไม่ได้อยู่ร่วมคณะรัฐมนตรี ก็หวังว่ารัฐมนตรีจะขับเคลื่อน DES ได้เป็นอย่างดี
ด้าน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า หลักสูตรนี้เป็นที่ยอมรับ หลายคนอยากมาศึกษา ดีใจที่ได้มาพบกับทุกคน และหวังว่าปีหน้าจะมาอีกรอบ ส่วนสภาพการเมืองคิดว่ารัฐบาลจะอยู่ครบ เพราะมีอีกหลายเรื่องที่เราต้องทำและแก้ปัญหาต่อไป อาทิ รัฐธรรมนูญ ปัญหาเศรษฐกิจ เชื่อมั่นว่าปัญหาต่างๆจะดีขึ้นในอนาคต ตอนนี้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปมาก นอกจากโควิดแล้ว ยังมีเรื่องของ Digital Disruption ทำให้การประกอบธุรกิจการทำงานของทุกหน่วยงานองค์กรต้องปรับตัว เห็นได้ชัดก็คือสื่อมวลชน จากทีวี/หนังสือพิมพ์ ก็ต้องมีสื่อในช่องทางอื่น แต่เชื่อว่าทุกคนปรับตัวได้ ทั้งนี้ เชื่อว่าทุกคนที่เข้ามาหลักสูตรนี้ล้วนเป็นผู้บริหารธุรกิจที่มีความหลากหลาย ทั้งธุรกิจ ทั้งไอที พลังงาน การสื่อสาร การค้าการลงทุน ซึ่งทุกคนมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ และเล็งเห็นว่าอนาคตปัญหาของการถูก Digital Disruption ก็ต้องปรับตัว การเข้ามาเรียนหลักสูตรนี้จะทำให้ทุกคนได้รับความรู้ เทคนิคดีๆ เพื่อนำพาธุรกิจของท่านให้ก้าวผ่านอุปสรรคที่ต้องเจอในอนาคตและประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน สำหรับรัฐบาลและกระทรวง DES มองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็จะเป็นหน่วยงานหลักที่จะสนับสนุนทุกคน ทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐาน ออกกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างความเป็นธรรมให้คนไทยทุกคน ที่สำคัญทำให้เราสามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้อย่างเท่าเทียมกัน พร้อมพยายามผลักดันให้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยก้าวไปอย่างมั่นคง ตนขอเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมหลักสูตรนี้ให้ผลิตบุคลากรออกมา เพื่อไปทำงานช่วยกันฟันฝ่าวิกฤต แก้ปัญหาและนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป
จากนั้นเริ่มปาฐกถาแผนพัฒนาดิจิทัลของประเทศ ว่า โลกเราเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล ที่เข้าไปแทรกซึมและเป็นส่วนหนึ่งของทุกกิจกรรม ทั้งเศรษฐกิจและสังคม เรียกว่า Digital Transformation เกิดการหลอมรวมด้านการข้อมูลและการทำงานให้เป็นรูปแบบดิจิทัลทั้งหมด ดังนั้นต่อไปนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำงานก็จะเป็นดิจิทล // ส่วนสถานการณ์โลกในปัจจุบัน เป็นที่น่าดีใจว่า โลกเรามีความพร้อมในการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลายมาก ประชากรโลก 7.8 พันล้านคน มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 4.6 พันล้านคน หรือร้อยละ 59.5 และทุกประเทศในโลกก็มีการพัฒนาระบบและส่งเสริมให้ประชาชนใช้อินเตอร์เน็ตอย่างเผยแพร่หลาย ส่งผลให้มีการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์โดยปี 2021 มีคนซื้อสินค้าทางออนไลน์คิดเป็นร้อยละ 70 6.8 มีการค้นหาอิสระในการค้นหาสินค้าและบริการออนไลน์มากถึงร้อยละ 81.5 ทำให้สินค้าออฟไลน์ขายไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงเริ่มมีการเก็บภาษีในระบบออนไลน์ เพราะถ้ารัฐเก็บภาษีไม่ได้ เอกชนที่แข่งขันแต่ไม่ขายออนไลน์ก็เดือดร้อน เพราะในออนไลน์ขายถูกกว่า ทำให้ผู้ประกอบการคนไทยบางคนต้องใช้กลไกด้วยการไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์หรือประเทศอื่น ดังนั้นเราต้องมีการแข่งขันในมาตรฐานเดียวกัน ไม่งั้นคนไม่เสียภาษีก็ได้เปรียบ
สำหรับสถานการณ์ดิจิทัลในประเทศไทยถือว่าเป็นอันดับต้นๆของโลก คนไทยวันนี้ 69.88 ล้านคน มีอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ 90 ล้านอุปกรณ์ หรือ 1 คนมีมือถือ 1.5 เครื่อง ที่พร้อมใช้งานในหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ เราต้องการให้คนไทยหัดใช้ Smart Phone ในการทำงาน-การลงทุนเพื่อพัฒนาต่อไป ทุกวันนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ แต่มีอยู่ประมาณ 2 ล้านคนที่ไม่สามารถเข้าโครงการของรัฐบาลได้เพราะไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งก็คิดอยู่ว่าต้องซื้อสมาร์ทโฟนแจกหรือไม่ แต่เมื่อตรวจสอบไปแล้วบางคนไม่ใช่ไม่มีเงินซื้อ อาจเป็นผู้ติดเตียง สายตาไม่ดี ไม่สามารถใช้สมาร์ทโฟนได้ ก็ต้องคิดรูปแบบ Smartphone ขึ้นมา เพื่อคนกลุ่มเป็นพิเศษ แต่ที่น่าตกใจคือการใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ของคนไทย ต่อวันใช้ถึง 8 ชั่วโมง 44 นาที ถือว่ามากกว่าการทำงานปกติ ทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนไปมาสู่ 5จี ซึ่งจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ประเทศไทย 2.3-5 ล้านล้านบาท ซึ่งธุรกิจรักษาพยาบาลน่าจะใช้เทคโนโลยีได้ดี จะสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลได้อย่างน้อย 3,800 ล้านบาทต่อปี
สำหรับกระทรวง DES มีโครงการกองทุนดิจิทัลเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ก็จะนำไปส่งเสริมนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล ในการพัฒนาให้ประชาชนและองค์กรต่างๆนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ประโยชน์สูงสุด เช่นเทคโนโลยี 5จี กับโครงการทางด้านเกษตร สาธารณสุข อุตสาหกรรม คมนาคม การศึกษา และสมาร์ทซิตี้ ตอนนี้พิจารณาไปแล้ว 9 โครงการวงเงินประมาณ 500 ล้านบาท ที่จะกระจายครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมพัฒนากฎหมายด้านดิจิทัล ปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ การรับรอง การกำกับดูแลธุรกิจบริการสำคัญ
ปัจจุบันเมืองไทยยังไม่มีระบบ National Digital Identity หรือ NDID หมายถึงระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดยมีการเก็บข้อมูลที่ระบุอัตลักษณ์หรือคุณลักษณะของแต่ละบุคคล และสร้างระบบเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างมาตรฐานการพิสูจน์และการเรียนรู้ร่วมกันทั้งประเทศ สำหรับบุคคลทั่วไปในการยืนยันตัวตนกับสถาบันต่างๆ จะช่วยลดระยะเวลาในการกรอกเอกสารและข้อมูลได้ ต่อไปทุกอย่างที่เข้ามาในระบบดิจิทัลของเมืองไทยทุกแพลตฟอร์ม ต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยว่าเป็นตัวจริงหรือไม่ ถ้าทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ วันนี้โลกออนไลน์จะด่าใครก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย
ขณะที่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็น DTC รุ่นที่ 1 กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ The Rapid Digital Transformation in the Leading Business ว่า โลกอุตสาหกรรมมีการพัฒนาไปเรื่อย จากเดิมมนุษย์เจอเครื่องจักรไอน้ำเข้ามาทดแทนแรงงานสัตว์ แรงงานคน แต่โดยเมื่อมนุษย์ค้นพบไฟฟ้า ก็เอามาประยุกต์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการผลิตและทำธุรกิจของตัวเอง พอมีคอมพิวเตอร์ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเพิ่ม Production ให้สูงขึ้นไปอีก และปัจจุบันเป็น intelligent ทั้งเครื่องจักรและคน เราจะได้ยินคำว่ามีการสื่อสารกันระหว่าง Machine to Machine สร้างการผลิตโดยที่มีคนเข้าไปยุ่งน้อยมาก แต่คนก็ยังเป็นส่วนผลักดันให้เกิดทุกสิ่ง ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่ intelligent ซึ่งมีทั้งประโยชน์มหาศาลและก็มีโทษอนันต์ พร้อมยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวอย่างเช่นเรื่องของแพลตฟอร์ม ที่มีการเพิ่มขึ้น เช่น 1.Application ขนส่ง ส่งอาหาร ส่งสินค้า 2. Empowered vs Influenced consumer 3.เป็นการแข่งขันข้ามอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 4.กระบวนการทำงานปัจจุบันที่ถูก disrupt จำเป็นต้องพัฒนาทักษะใหม่
ส่วนอุตสาหกรรมพลังงานกำลังถูกท้าทายด้วยการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานหรือเรียกว่า 4D ประกอบด้วย Decarbonization Decentralization Digitalization Deregulationปัจจุบันธุรกิจปั๊มน้ำมันของ ปตท. ก็ต้องปรับตัวสู่การมีพลังงานไฟฟ้าสอดรับกับตลาดรถในอนาคตที่เป็น EV ตามที่รัฐบาลประกาศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง