ฐานเศรษฐกิจ รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 25 พ.ค. 64 มีมติรับทราบสรุปผลการประชุมศบค. หรือ คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ครั้งที่ 7/2564 ซึ่งมีการประชุมไปเมื่อวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
โดยหนึ่งในมติศบค. ที่มีการรายงานในที่ประชุมครม. คือ “แผนการให้บริการวัคซีนโควิด - 19” ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอต่อที่ประชุมพิจารณา ดังนี้
แผนการจัดสรรวัคซีน AstraZeneca
: เข็มที่ 1 ในเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 ประเทศไทยได้กำหนดให้วัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลักสำหรับการป้องกันโรคโควิด - 19 โดยในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564 มีแผนการฉีดวัคซีน AstraZeneca จำนวน 36,000,000 โดส เพื่อฉีดวัคซีนปูพรมเป็นเข็มที่ 1
ในช่วงเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2564 มีแผนการฉีดวัคซีน AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 จำนวน 10 กลุ่ม ดังนี้
การนัดหมายผ่านองค์กร
(1) กรณีองค์กรสามารถประสานหาสถานพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนได้เอง ให้ติดต่อขอรับวัคซีนได้จากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร
(2) องค์กรไม่สามารถประสานหาสถานพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนได้เอง ให้ติดต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กรุงเทพมหานคร เพื่อนัดหมายขอเข้ารับวัคซีนแบบกลุ่ม ณ สถานพยาบาลที่คณะกรรมการฯ กำหนด
(3) กรณีองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรอยู่ในหลายจังหวัดหรือองค์กรระหว่างประเทศ/หน่วยงานต่างชาติที่ติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ให้แจ้งอธิบดีกรมควบคุมโรค โดยหาสถานพยาบาลรองรับการฉีดเอง
(4) กรณีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม (จำนวน 16,000,000 คน) ให้ดำเนินการ ดังนี้
การจัดระบบการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19
สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำเพาะ โดยให้สามารถเข้ารับวัคซีนตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป ดังนี้
(1) กลุ่มคณะทูตานุทูตและองค์กรระหว่างประเทศ
(2) กลุ่มชาวไทยที่จะขอรับวัคซีนก่อนไปศึกษาต่อ/ทำงานในต่างประเทศ
(2.1) กรณีผ่านองค์กร เช่น หน่วยงานผู้ให้ทุนการศึกษา สถานประกอบการ เป็นต้น
(2.2) กรณีประสงค์จะรับวัคซีนเป็นรายบุคคล
ระบบบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
(1) เห็นชอบแผนการจัดสรรวัคซีน AstraZeneca รอบเดือนมิถุนายน - กันยายน 2564
(2) เห็นชอบช่องทางการลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีน 3 ช่องทาง คือ
(3) เห็นชอบระบบการให้บริการวัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมายจำเพาะ เช่น คณะทูตานุทูตและองค์กรระหว่างประเทศ กลุ่มชาวไทยที่จะขอรับวัคซีนก่อนไปศึกษาต่อ/ทำงานในต่างประเทศ ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม
(4) มอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดการประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายจำเพาะให้ทราบโดยทั่วกัน
(5) ให้เริ่มการฉีดวัคซีนทั้งระบบเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน 2564 เป็นต้นไป
ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
วันที่ 26 พ.ค. 64 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. แถลงตอนหนึ่งว่า วันเดียวกันนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ( สมช.) ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ที่ได้รับการสั่งการจากนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค.ประชุมเรื่องของวัคซีน ใน 2 ประเด็น คือเรื่องการลงทะเบียน และแผนการแจกจ่ายวัคซีน โดยได้ปรับแผนการลงทะเบียนเพื่อรับการฉีดวัคซีนใหม่เพิ่มเติม จากเดิมที่ใช้ระบบหมอพร้อม ขณะนี้ขอให้ชะลอการลงทะเบียนด้วยระบบหมอพร้อมไปก่อน
ซึ่งที่ผ่านมาหมอพร้อมเป็นระบบการลงทะเบียนใน 3 ข้อหลักคือ การลงทะเบียน การติดตามการฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 รวมทั้งผลข้างเคียง และการออกใบรับรองการฉีดวัคซีนที่ครบถ้วน ตอนนี้ให้หมอพร้อมทำงานสองข้อหลังคือติดตามการฉีดวัคซีนและเรื่องการออกใบรับรองการฉีดวัคซีน ส่วนระบบการลงทะเบียนนั้นขอให้มีทางเลือกกับประชาชน เช่น การมีแอปพลิเคชั่นเฉพาะของจังหวัด อาทิ ภูเก็ต หรือ กทม.ที่ในวันที่ 27 พ.ค.เวลา 12.00 น. ได้ขออนุมัตินายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศบค.แล้ว ที่จะเปิดการลงทะเบียนเป็นการเริ่มต้น
เนื่องจาก กทม.มีประชาชนจำนวนมาก จึงจะมีระบบของ กทม.โดยเฉพาะ หรือที่ จ.นนทบุรีจะมีระบบของตัวเอง ถือเป็นหน้าด่านในการลงทะเบียนของประชาชนเป็นการอำนวยความสะดวก ไม่เป็นคอขวดเหมือนเช่นเดิม
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ลงทะเบียนกับระบบหมอพร้อมโดยเฉพาะสองกลุ่มหลักคือกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี และกลุ่มที่เป็น 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ยังยืนยันว่าได้ลงทะเบียนไปแล้วอยู่ในระบบของหมอพร้อม ซึ่งจะได้รับวัคซีนในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนจะเป็นวันเวลาใดนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่นำเข้ามา และจะให้เป็นลำดับต้นๆ เพราะถือว่าทุกคนให้ความร่วมมือในการแจ้งความประสงค์ที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ทั้งหมดทั่วประเทศข้อมูลจะลงมาอยู่ที่ทีมงานหมอพร้อม
ทั้งนี้ เลขาธิการ สมช.ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ยืนยันว่า ทีมงานหมอพร้อมเข้าใจระบบเป็นอย่างดี และการดำเนินการที่ผ่านมาก็เป็นประโยชน์ และยังคงดำเนินการอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ขยับมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการเก็บข้อมูล ส่วนด่านหน้าคือการรับการลงทะเยียนนั้นแต่ละจังหวัดจะเอาโมเดลของ กทม. นนทบุรีหรือภูเก็ตไปใช้ในพื้นที่ของตัวเองก็ได้ หรือจะเดินไปที่โรงพยาบาลหรือพบกับ อสม. ยังสามารถใช้ได้ทุกระบบในการเข้ามารับวัคซีน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับแผนการแจกจ่ายวัคซีน นายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค. ได้สั่งการให้ทางเลขาธิการสมช.ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงสาธารณสุขและอธิบดีกรมควบคุมโรค โดยมีการปรับแผน การกระจายวัคซีนใหม่จากเดิมจัดสรรวัคซีนตามโควตาการจอง ปรับมาเป็นการจัดสรรให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์อื่นขึ้นมาในเรื่องของการกระจายวัคซีน เช่น การใช้เกณฑ์เรื่องการติดเชื้อ อย่างที่ จ.เพชรบุรีมีการติดเชื้อในกลุ่มคนจำนวน 2,000 กว่าราย ก็ต้องมีการจัดสรรโควตาวัคซีนเพิ่มเพื่อการควบคุมโรค ดังนั้น อัตราการติดเชื้อหากมีความรุนแรงรายวันต้องนำมาคิดคำนวณด้วย
นอกจากนี้ ยังต้องคิดในแง่ของเศรษฐกิจ สังคม ท่องเที่ยวที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อน ซึ่งจะเป็นเกณฑ์ที่จะต้องนำเข้ามาพิจารณาด้วยเล่นกัน รวมทั้งกลุ่มเสี่ยงต่างๆ เช่น แรงงานในแคมป์ต่างๆ จะต้องได้รับวัคซีนกลุ่มเฉพาะขึ้นมา เช่น ที่กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มขับรถสาธารณะที่ สถานีกลางบางซื่อ ถือเป็นการปรับเปลี่ยน ขณะเดียวกัน ทางมหาวิทยาลัยก็จะมีการรับผู้แจ้งความจำนงในการฉีดวัคซีนโดยทางกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมก็จะมีการฉีดให้กับกลุ่มเฉพาะถ้าจะมีการเปิดภาคการเรียนขึ้นมา
ดังนั้น แผนการแจกจ่ายวัคซีนจะถูกปรับใหม่โดยใช้หลายเกณฑ์ จึงขอแจ้งให้ประชาชนรับทราบว่าขณะนี้ทางนายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.ศบค. รับทุกข้อเสนอและนำมาสู่การจัดสรรวัคซีนใหม่โดยมอบให้ทาง ผอ.ศปก.ศบค. ดูในรายละเอียดและพื้นที่ของแต่ละจังหวัดอยู่ ยืนยันว่าเราพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศและการขับเคลื่อนต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :