รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha) โดยมีข้อความว่า
1.อย่าทนงตนว่าเป็นหนุ่มสาวหรือไม่มีโรคประจำตัวแล้วไม่เป็นไร
นอกจากจะเป็นตัวแพร่เชื้อที่มีประสิทธิภาพแล้ว เราเห็นกันแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงพยาบาลขณะนี้ ที่คนแข็งแรงอาการหนักได้
2.อย่าคิดว่าเมื่อติดเชื้อแล้วและเริ่มมีอาการจะรักษาง่ายๆ
กลไกของการติดเชื้อเมื่อเข้าร่างกายแล้วจะเพิ่มจำนวน และถ้าหยุดยั้งไม่ได้หรือไม่ทันเชื้อจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกระบบที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงกว่าเชื้อไวรัสอื่นๆ จากผลของการอักเสบจะกระทบทุกอวัยวะในร่างกาย และทำให้เลือดข้น เกิดลิ่มเลือดเล็กๆ ทั่วไปด้วย
3.ย่าคิดว่ามียาต้านไวรัสแค่นั้นก็พอ
เมื่อมีการอักเสบเกิดขึ้นจำเป็นต้องให้ยากดการอักเสบ ซึ่งทำให้ติดเชื้ออื่นได้ง่ายขึ้นจากการกดภูมิคุ้มกันและปอดอักเสบที่เห็นนั้น จะกลายเป็นทั้งจากไวรัสและแบคทีเรียซ้ำซ้อน
4.อย่าคิดว่าถ้าตัวเลขลดลงหมายความว่าต่อไปนี้ไม่ต้องระวังตัวแล้ว
ต้องเข้าใจข้อจำกัดของการที่จะตรวจให้ได้ทุกคนในทุกพื้นที่ของประเทศ แม้ว่าตัวเลขจะลดลงก็ตามยังคงมีผู้ติดเชื้อที่ไม่รู้ตัวและไม่แสดงอาการอยู่ทั่วไปได้
5.อย่าเข้าไปในสถานที่แออัด ที่อับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
สถานที่ดังกล่าวและยิ่งมีคนที่แพร่เชื้อได้หลายคน โอกาสที่จะได้รับเชื้อยิ่งสูงขึ้นและจำนวนเชื้อมากขึ้นตั้งแต่ต้น เชื้อที่อยู่กับละอองฝอยจะอบอวลอยู่ในอากาศได้นาน และแม้เมื่อตกพื้นไปแล้วการเดินจะกระพือให้ละอองฝอยเหล่านี้ลอยขึ้นอีก (จากข้อมูลของประเทศจีนตั้งแต่ปี 2563)
6.อย่านิ่งนอนใจในภาวะโรคประจำตัวทุกอย่าง ต้องคุมให้ได้
โรคประจำตัวจะเปิดโอกาสทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น เกี่ยวข้องกับกลไกในการรับเชื้อและการเพิ่มจำนวนของเชื้อได้เก่งขึ้น นอกจากนั้น โรคประจำตัวหลายชนิดจะมีลักษณะของการเอื้อให้เกิดมีการอักเสบในร่างกายอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ การอักเสบของข้อ การรักษาจะยิ่งซับซ้อนขึ้น ทั้งจากโควิด-19 เอง และโรคประจำตัวที่ปะทุซ้ำซ้อนขึ้น
7.อย่าทะนงตัวว่า ฉีดวัคซีนแล้วชัวร์
ฉีดเข็มเดียว โอกาสติดยังสูง โอกาสตายยังมี
ฉีดสองเข็ม โอกาศติดยังมีแต่น้อยลงมากๆ แต่ถ้าเจอเชื้อที่ปรับรหัสพันธุกรรมไป แม้แต่ตำแหน่งเดียว เข่นสายอังกฤษ ในอังกฤษ โอกาศติดจะเพิ่มขึ้น และแพร่ไปให้คนอื่นๆอีกได้ และถ้า ไวรัส “หน้าตาเปลี่ยนไปมาก”การติดอาจจะเพิ่มขึ้นได้ ไม่ว่าจะฉีดเข็มที่สาม เป็นยี่ห้อเดิมหรือยี่ห้อใหม่ โดยที่ภูมิในเลือดที่สูงขึ้น อาจทำอะไรไม่ได้ และอาการอาจยกระดับขึ้นได้จนเข้าโรงพยาบาล
ปัจจุบัน เริ่มมี “หลุด” แม้ฉีดวัคซีนครบไปแล้ว
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) ในประเทศไทยจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข วันที่ 28 ก.พ.-7 มิ.ย. 64 พบว่า มีการฉีดไปแล้วทั้งหมด 4,634,941 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 3,243,913 ราย และเข็มที่ 2 จำนวน 1,391,028 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :