รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความว่า
ทางออกวิกฤติวัคซีนและการระบาด...
หนึ่ง ศบค.ควรทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลัก ในการพิจารณาวางแผน และดำเนินการจัดซื้อจัดหาวัคซีนเอง โดยมิต้องให้ผ่านกระบวนการของกระทรวงและหน่วยงานอื่นในระบบปกติ เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ช่วงที่ผ่านมา กระบวนการต่างๆ ตามระบบปกติในหน่วยงานระดับกระทรวงและองค์กรภายใต้กำกับรัฐนั้นมีความช้า และไม่ทันต่อความต้องการจำเป็นในภาวะวิกฤติ
สอง ปรับแผนการจัดซื้อจัดหาวัคซีนใหม่ โดยมุ่งเน้นการจัดหาวัคซีน mRNA มาใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักฐานวิชาการสากลและแนวปฏิบัติที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกดำเนินการด้วยเหตุผลเชิงประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการป้องกันโรคและป้องกันการติดเชื้อ ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์กลายพันธุ์ต่างๆ
สาม กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี/ผอ.ศบค.เพื่อโปรดพิจารณายกหูโทรศัพท์เพื่อเจรจากับบริษัทวัคซีนด้วยตนเอง ดังที่เห็นได้จากความสำเร็จของผู้นำประเทศต่างๆ ที่ดำเนินการเช่นนี้ จนได้วัคซีนมาในปริมาณมากพอและรวดเร็ว
สี่ ด้วยสถานการณ์ระบาดของไวรัสกลายพันธุ์ในประเทศไทยมีความรุนแรงอย่างชัดเจน กลุ่มเปราะบางที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มิใช่แค่ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับไม่ครบ แต่ยังหมายรวมถึงกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบแล้ว แต่เป็นวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) ที่อาจมีคนที่เกิดระดับภูมิคุ้มกันที่น้อยหรือไม่ขึ้น (ซึ่งรวมถึงคนทำงานด่านหน้าอย่างบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขส่วนใหญ่ด้วย) สิ่งที่ควรเร่งดำเนินการคือ การจัดหาวัคซีน mRNA มาใช้เพื่อฉีดเป็นเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิสำหรับคนที่ได้วัคซีนเข็มแรก หรือได้รับวัคซีนครบสองเข็มไปแล้ว ในขณะที่คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ก็ควรได้รับวัคซีนนี้เช่นกันทั้งสองเข็ม
ห้า ออกมาตรการกระตุ้นเตือน ให้กลุ่มที่ได้รับวัคซีนยังไม่ครบ หรือครบแล้วแต่อาจมีปัญหาระดับภูมิคุ้มกัน ให้ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด จนกว่าจะได้รับการกระตุ้นโดยวัคซีน mRNA
หก พึงตระหนักว่า นี่คือวิกฤติของสังคมไทย ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการให้นักวิชาการมาทดลอง แต่นโยบายและมาตรการใดๆ ที่จะออกมานั้นจำเป็นต้องใช้ความรู้ที่ถูกต้องและได้รับการพิสูจน์แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงที่จะผิดพลาด และป้องกันไม่ให้เกิดการปรับเปลี่ยนแผนไปมามากเกินความเหมาะสม ดังจะเห็นได้จากทั้งเรื่องจำนวนสัปดาห์ระหว่างการฉีดแต่ละเข็ม ตลอดจนการประเมินศักยภาพของวัคซีนต่อสายพันธุ์กลายพันธุ์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีปัญหา
เจ็ด ด้วยสถานการณ์ระบาดที่รุนแรง กระจายไปทั่ว และไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นด้วยมาตรการที่ดำเนินการมา อาจส่งผลกระทบต่อแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ในช่วง 120 วันนี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ควรพิจารณาอัพเกรดมาตรการเพื่อตัดวงจรการระบาดให้ได้ จะโดยการพิจารณาล็อคดาวน์พื้นที่ อำเภอ จังหวัด หรือภาคที่มีการระบาดหนัก เป็นระยะเวลาสั้น 2 สัปดาห์ จะทำให้เกิดประโยชน์ในการควบคุมโรค และต่อลมหายใจของระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
Bubble and seal ไม่มีทางได้ผลในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะการระบาดกระจายไปทั่ว และกำลังการตรวจคัดกรองโรคนั้นมีจำกัด
เราบอบช้ำมามากแล้วจากการดำเนินการในระลอกสองและสามนี้ ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการทำงานครับ
สำหรับประชาชนทุกคน ขอให้ใส่หน้ากากเสมอนะครับ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า
ด้วยรักและห่วงใย
ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้รวบรวมตัวเลขสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19)ของประเทศไทย วันที่ 24 มิถุนายน 2564 จากศูนย์ข้อมูล COVID-19 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า
มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 4,108 ราย
สะสมระลอกที่สาม 203,784 ราย
สะสมทั้งหมด 232,647 ราย
ออกจากโรงพยาบาล 1,578 ราย
สะสม 163,929 ราย
เสียชีวิตเพิ่ม 31 ราย
สะสมระลอกที่สาม 1,681 ราย
สะสมทั้งหมด 1,775 ราย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
"โควิดสายพันธุ์อินเดีย"จะเป็นไวรัสหลักของไทยใน 1-3 เดือน "หมอเฉลิมชัย" แนะร่นระยะฉีดวัคซีน
"AstraZeneca" 2 เข็มเหลือ 8 สัปดาห์พื้นที่โควิดสายพันธุ์อินเดียระบาด "หมอเฉลิมชัย" ชี้เหมาะสม
ย่้อนรอยนโยบาย "AstraZeneca" ทิ้งระยะห่าง 16 สัปดาห์ "แพทย์ไทย" ยันไม่เห็นด้วย
ห้องฉุกเฉิน รพ.รัฐใน กทม. เข้าสู่ภาวะวิกฤต "หมอไพโรจน์"แนะเร่งหาทางออกก่อนจะล้ม
"AstraZeneca" กับผลข้างเคียงแขนขา-กล้ามเนื้อใบหน้าอัมพาตเฉียบพลัน