วันที่ 11 ก.ค. 2564 ฐานเศรษฐกิจ เกาะติด โปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 คืนนี้ รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง อังกฤษ กับ อิตาลี เตะที่สนามเวมบลีย์, กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ NBT2HD ถ่ายทอดสด ให้ชมเวลา 02.00 น.(ตามเวลาประเทศไทย)
สถิติ เฮด-ทู-เฮด
การพบกันของอังกฤษ กับ อิตาลี นั้นพบกันมาแล้วทั้งหมเ 27 ครั้ง เป็นฝ่ายอิตาลีที่สถิติเหนือกว่า โดยเอาชนะไปได้ถึง 11 ครั้ง เสมอกัน 8 ครั้ง และอังกฤษเป็นเอาฝ่ายชนะไปได้ 8 ครั้ง
แต่ในชัยชนะ 8 ครั้งของอังกฤษนั้น พบว่ายังไม่เคยเอาชนะ อิตาลี แม้แต่เกมเดียว ทั้งศึกฟุตบอลโลก และฟุตบอลยูโร โดยทำได้เสมอ 1 ครั้ง และ แพ้ 3 จาก 4 แมตช์ล่าสุด
เริ่มจาก ยูโร 1980 อิตาลี ชนะ 1-0 ด้วยประตูของ มาร์โก ตาร์เดลลี มิดฟิลด์สังกัด ยูเวนตุส เขี่ย อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของ รอน กรีนวูด ตกรอบแบ่งกลุ่ม
ต่อมา ฟุตบอลโลก 1990 อิตาลี ย้ำแค้น อังกฤษ 2-1 แมตช์ชิงอันดับ 3 จากนั้นทั้งคู่โคจรมาพบกัน ในศึกยูโร 2012 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปรากฏว่า อังกฤษ แพ้ดวลจุดโทษ
และการพบกันครั้งล่าสุด เฉพาะเมเจอร์ อิตาลี เอาชนะไป 2-1 ด้วยประตูของ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ กับ มาริโอ บาโลเตลลี ส่งผลให้ อังกฤษ ตกรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2014
เป็นทีมที่พังประตูคู่แข่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในศึกยูโร 2020 ครั้งนี้ที่ 12 ประตู เท่ากับ เดนมาร์ก โดยน้อยกว่า สเปน อันดับ 1 เพียง 1 ลูกเท่านั้น
อีกทั้งผู้ทำประตูยังกระจายกันไปถึง 6 คน คือ ชิโร อิมโมบิเล, ลอเรนโซ อินซินเญ, มานูเอล โลคาเตลลี, มัตเตโอ เปสซินา, เฟเดริโก เคียซา (คนละ 2 ประตู) และ นิโคโล บาเรลลา (1 ประตู) ส่วนอีก 1 ลูกมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ตุรกี ตั้งแต่นัดเปิดสนาม แสดงให้เห็นว่ามีการเข้าทำที่หลากหลาย ไม่ฝากความหวังเรื่องจบสกอร์ไว้ที่คนใดคนหนึ่ง และยังทำให้คู่แข่งจับทางยากด้วย
ส่วนที่มาของการได้ประตูก็ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งการต่อบอลเจาะเกมรับเข้าไปพังตาข่ายในเขตโทษ, เปิดลูกเซตพีซเข้าไปลุ้นหาทางสับไก, การยิงจากแถวสอง, เล่นเกมสวนกลับเร็ว รวมถึงอาศัยความสามารถเฉพาะตัวเพื่อหาจังหวะยิง น่าจะเป็นปัญหาหนักใจไม่น้อยสำหรับแนวรับคู่แข่ง
สำหรับเกมรับของอิตาลี แม้รอบแบ่งกลุ่ม จะไม่เสียประตูทั้ง 3 นัด แต่ตลอดรอบน็อกเอาต์ทั้ง 3 เกมที่ผ่านมา พวกเขาโดนเจาะรอบละ 1 ประตู ทั้งรอบ 16 ทีม ต่อเวลาพิเศษชนะ ออสเตรีย 2-1 จากลูกเตะมุม, รอบ 8 ทีม ชนะ เบลเยียม 2-1 จากจุดโทษซึ่งเกิดจากการทำฟาวล์ เฌเรมี โดกู ที่มีความเร็วสูง และรอบรองชนะเลิศ เสมอ สเปน 1-1 จากการโดนต่อบอลทำชิ่งเจาะแนวรับ ก่อนเอาตัวรอดดด้วยการดวลจุดโทษชนะ
การเสียประตูทั้ง 3 ครั้งของ "อัซซูรี" ถือเป็นวิธีการเข้าทำที่ อังกฤษ ถนัดเสียด้วย ดังนั้นกุนซือ โรแบร์โต มันชินี ต้องหาทางขันแนวรับให้แน่นหนายิ่งขึ้น หลังจากมีบทเรียนในรอบน็อกเอาต์ที่ผ่านมาแล้ว แต่คู่หูเสาหลักอย่าง จอร์โจ คิเอลลินี กับ เลโอนาร์โด โบนุชชี ที่มีอายุรวมกัน 70 ปี น่าจะงัดเอาประสบการณ์อันโชกโชนออกมาใช้รับมืออย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่นอน
ผลงานของอิตาลีในบอลยูโร2020
แม้ช่วงแรกของทัวร์นาเมนต์จะผลิตสกอร์ได้น้อย แต่เมื่อจับจังหวะได้ก็ค่อยๆ มีประตูไหลมาเทมาจนยิงได้ 10 ลูก ตามติดมาในอันดับ 4 ต่อจาก อิตาลี และ เดนมาร์ก
อย่างไรก็ตาม "สิงโตคำราม" ได้ประตูจากผู้เล่นเพียง 4 คน ซึ่ง แฮร์รี เคน กดไป 4 ลูก ส่วน ราฮีม สเตอร์ลิง ก็จัดไป 3 ลูกแรกในรายการนี้ เรียกได้ว่าทั้งคู่แบกความหวังในการใส่สกอร์เอาไว้ มีเพียง แฮร์รี แม็กไกวร์ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่มาช่วยแบ่งเบาภาระคนละ 1 ประตูจากการโหม่งลูกฟรีคิกและลูกเตะมุมในรอบ 8 ทีม ถล่ม ยูเครน 4-0
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า 10 ประตูของอังกฤษ เกิดขึ้นในกรอบเขตโทษทั้งหมด โดย 5 ลูกเกิดจากการเซตบอลเข้าทำ 3 ประตูมาจากลูกเซตพีซ ทั้งเตะมุม ฟรีคิก ตลอดจนจุดโทษซึ่งเกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของ สเตอร์ลิง ที่เลี้ยงกินตัวแนวรับเดนมาร์กเพื่อวัดใจผู้ตัดสิน ก่อนประสบความสำเร็จ และอีก 2 ลูกมาจากการตัดบอลแล้วจู่โจมเร็ว นับว่าความหลากหลายอาจสู้ อิตาลี ไม่ได้
อังกฤษ กลับมีประสิทธิภาพการจบสกอร์ที่เหนือกว่าจากการใช้โอกาสรวมกันเพียง 58 ครั้ง ขณะที่ "อัซซูรี" ใช้โอกาสเปลืองถึง 108 ครั้ง เป็นอันดับ 2 รองจาก สเปน แค่ 3 ครั้ง จึงน่าสนใจว่าแมตช์นี้ใครจะคมกว่ากัน
ส่วนเกมรับของ"สิงโตคำราม" เตรียมตัวสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้มาเป็นอย่างดี โดยวางรากฐานเกมรับอย่างแน่นหนาด้วยการใช้มิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติ 2 คนอย่าง คัลวิน ฟิลลิปส์ กับ ดีแคลน ไรซ์ เป็นตัวยืนคอยปัดกวาดหน้าแผงหลัง ซึ่งยืดหยุ่นได้ทั้งระบบแนวรับ 4 คน หรือปราการหลัง 3 คน จนกลายเป็นทีมแรกในศึกยูโร รอบสุดท้าย ที่ไม่เสียประตูตลอด 5 นัดแรก
สำหรับ 1 ประตูที่เสียให้ เดนมาร์ก ต้องยอมรับว่า มิคเคล ดามส์การ์ด ยิงฟรีคิกได้สมบูรณ์แบบจริงๆ แต่ก็เป็นประตูแรกจากลูกฟรีคิกที่เกิดขึ้นในยูโร 2020 ด้วย ทำให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด กลายเป็นผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษที่ไม่เสียประตูติดต่อกันนานที่สุด 725 นาที ทำลายสถิติเดิมของ กอร์แดน แบงค์ส เมื่อ 55 ปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าหาก อิตาลี จะเจาะตาข่ายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
ผลงานของอังกฤษในยูโร 2020
ลูกทีมของ โรแบร์โต มันชินี สร้างสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันมา 33 นัด ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2018 ยาวนานเกือบ 3 ปีแล้ว เหลืออีกเพียง 2 นัดก็จะเทียบเท่าสถิติโลกของ บราซิล (ปี 1993-1996) และ สเปน (ปี 2007-2009) ซึ่งยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ ถือเป็นบันไดอีกขั้นที่ อิตาลี ต้องก้าวข้ามสู่การยืนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว
แม้รอบน็อกเอาต์ทั้ง 3 นัดที่ผ่านมา "อัซซูรี" จะเสียประตูให้กับคู่แข่ง แต่ก็เป็นฝ่ายทำประตูขึ้นนำก่อนทุกครั้ง รวมถึง 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มด้วย เรียกได้ว่าชั่วโมงนี้พวกเขาพร้อมเจอคู่แข่งทุกทีม
กระนั้น อังกฤษ ก็คงไม่ยอมเป็นบันไดให้ อิตาลี ก้าวผ่านไปง่ายๆ เมื่อพวกเขาไม่แพ้ใครมา 12 นัดติดต่อกัน และเสมอเพียงครั้งเดียวในเกมรอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 2 กลุ่มดี ที่เจ๊า สกอตแลนด์ 0-0 โดยเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น
แม้จะไม่ค่อยชนะคู่แข่งแบบขาดลอย แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นทีมที่แพ้ยากเช่นกัน และยังเสียไปแค่ประตูเดียว น้อยกว่าทุกทีมในยูโร 2020 นอกจากนี้ยังเอาชนะ เยอรมนี ที่เคยเป็นงูเหลือมกับเชือกกล้วยมาได้ในรอบ 16 ทีม ทำให้ "สิงโตคำราม" ก็พร้อมชนคู่แข่งทุกรายเช่นกัน
ที่มาข้อมูล Google.com Uefa.com Livescore.com
ลิงค์ถ่ายทอดสด NBT2HD