รู้จัก โควิดเดลต้า 4 สายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในไทย 8 จังหวัด

24 ส.ค. 2564 | 08:40 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ส.ค. 2564 | 18:41 น.

รู้จัก โควิดเดลต้า 4 สายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในไทย ตรวจพบใน 8 จังหวัด สาธารณสุข จับตาเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อเนื่อง มีจังหวัดไหน พื้นที่ใดบ้าง เช็คที่นี่

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในไทยวันนี้ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าคนไทยติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้า (Delta) กันมากขึ้นซึ่งมีความรุนแรงของอาการและมีแนวโน้มของผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น

ในการแถลงข่าวของกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อัพเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดในไทย ระบุว่า ตรวจพบเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้ามีสัดส่วนกระจายอยู่ในทุกจังหวัดของประเทศไทยแล้ว

ข้อมูลจากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยถึงผลการสุ่มถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 จีโนมที่ระบาดในไทยทุกสัปดาห์พบว่า สายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดอยู่ในไทยในขณะนี้ เป็นสายพันธุ์ B.1.617.2  ซึ่งเริ่มปรากฏเดลต้าสายพันธุ์ย่อย 4 สายพันธุ์ในไทย ดังนี้ 
 

  1. AY.4 หรือ B.1.617.2.4 ตรวจพบในเดือน มิ.ย.-ส.ค.
  • จ.ปทุมธานี 4 ราย
  • จ.บุรีรัมย์ 1 ราย
  • จ.กำแพงเพชร 1 ราย
  • จ.เชียงใหม่ 1 ราย
  • จ.สมุทรปราการ 1 ราย
  • จ.ชลบุรี 1 ราย

2. AY.6 หรือ B.1.617.2.6 ตรวจพบในเดือน ก.ค.

  • ในพื้นที่ กทม. 1 ราย

3.AY.10 หรือ B.1.617.2.10 ช่วงที่พบเดือน ก.ค.

  • ในพื้นที่ กทม.1 ราย

4. AY.12 หรือ B.1.617.2.15 ช่วงที่พบเดือน ก.ค.-ส.ค.

  • ในพื้นที่ กทม. (พญาไท) 1 ราย
  • จ.สุราษฎร์ธานี  2 ราย

รู้จัก โควิดเดลต้า 4 สายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในไทย 8 จังหวัด

 

รู้จัก โควิดเดลต้า 4 สายพันธุ์ย่อยที่ระบาดในไทย 8 จังหวัด

ในขณะที่อาการโควิดสายพันธุ์เดลต้า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มีอาการคล้ายไข้หวัด ดังนี้

  • ปวดศีรษะ
  • มีน้ำมูกเจ็บคอ
  • มีไข้
  • ไม่ค่อยพบการสูญเสียการรับรส
  • อาการคล้ายไข้หวัด

อย่างไรก็ดี กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เบื้องต้นยังไม่มีรายงานอาการและความรุนแรงของเดลต้าสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้ว่า มีอาการรุนแรงมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับสายพันธุ์แม่ รวมถึงจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนโควิดด้วยหรือไม่ โดยทางกระทรวงสาธารณสุขจะเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป