วันที่ 27 ส.ค. 64 เครือข่ายภาคประชาชน นำโดย นางสาวศรีไพร นนทรีย์ แกนนำกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง นางสาวจรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว กว่า10 คน เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ผ่านทางนายแพทย์โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขอให้มีมาตรการเร่งด่วนแก้ไขปัญหาหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19
นางสาวศรีไพร นนทรีย์ แกนนำกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกแรกเมื่อปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อแรงงานจำนวนมาก บางโรงงานหรือสถานประกอบการบางแห่งที่ยังคงเดินหน้า บางแห่งไม่มีมาตรการเชิงรุก หรือตรวจเจอก็ไม่มีเตียงรักษา ,บริษัทบางแห่งมีมาตรการให้พนักงานกักตัว แต่ให้กักตัวเพียง7วัน ไม่เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุข อีกทั้งยังเปิดบริษัทฯ ให้คนงานเข้า-ออกประตูด้านหลัง โดยไม่มีหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง
ที่น่าเป็นห่วงคือหญิงตั้งครรภ์ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ยังไม่ได้รับการปกป้องเท่าที่ควร ไม่มีการแยกออกจากพื้นที่เสี่ยง ยังต้องเจอกับคนจำนวนมาก ทำให้มีหญิงตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยต้องติดโควิด และประสบปัญหาถูกรพ.ปฏิเสธการทำคลอด โดยระบุว่ารพ.ไม่มีความพร้อมทำคลอดกรณีที่มีการติดโควิดด้วย ทำให้ผู้ป่วยและญาติต้องหารพ.ทำคลอดกว่า4แห่ง บางรายที่ติดโควิดทำคลอดที่รพ.เอกชนก็ถูกเรียกเก็บเงินกว่า150,000บาท
"มีกรณีหนึ่งภรรยาเสียชีวิตระหว่างตั้งครรภ์ เคสนี้ใช้เวลาหลายวันกว่าจะได้รับการตรวจรักษา และต้องคลอดก่อนกำหนด รักษาอยู่หลายวันอาการไม่ดีขึ้น ปอดเสียหายรุนแรง สุดท้ายภรรยาก็เสียชีวิต ส่วนลูกที่เพิ่งคลอดไม่ได้ติดเชื้อจากแม่ ซึ่งทราบว่าพ่อเด็กต้องลาออกจากงานพาลูกกลับไปเลี้ยงที่ต่างจังหวัด เป็นเคสที่สะเทือนใจกันมาก"
นางสาวศรีไพร กล่าวเพิ่มเติมว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เครือข่ายฯ มีข้อเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
1.ขอให้กำกับดูแลโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์ ไม่ควรปฏิเสธการทำคลอด-รักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด-19 หากเกินศักยภาพที่โรงพยาบาลจะดูแลรักษาได้ ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแล ประสานต่อ ไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยและครอบครัวไปหาสถานพยาบาลเอง และควรเร่งประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตัว การดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่ถูกต้องให้กว้างขวาง
2.เร่งฉีดวัคซีนให้หญิงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปให้ครอบคลุมมากขึ้น เนื่องจากพบว่าปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนไม่ถึง 3% ในขณะที่อัตราการเสียชีวิตในหญิงตั้งครรภ์สูงถึง 2.5%
3. กรณีหญิงตั้งครรภ์ติดโควิด-19เสียชีวิต หรือลูกเสียชีวิต หรือเสียชีวิตทั้งแม่ทั้งลูก โรงพยาบาลต้องจัดให้นักสังคมสังเคราะห์ประเมิน และวิเคราะห์รายกรณี เพื่อประสานการช่วยเหลือ เยียวยาสภาพจิตใจครอบครัว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น
4.กระทรวงสาธารณสุขต้องเชื่อมต่อกับโรงงานต่างๆ ให้บริษัทฯ ตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับคนงานต่อเนื่องเพื่อแยกผู้ติดเชื้อฯ ออกมารักษาตามระบบป้องกันการแพร่กระจายสู่ผู้อื่น สนับสนุนให้แต่ละสถานประกอบการมีFactory isolation ที่มีมาตรฐาน โดยมีบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาลในการดูแลผู้ติดเชื้อ มีระบบการประสานส่งต่อคนงานที่มีอาการเริ่มรุนแรง รวมถึงเชื่อมโยงการทำ Home isolation ที่ถูกต้อง
นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า กระทรวงสาธารณสุขรับข้อเรียกร้องและเห็นด้วยทั้ง 4 ข้อ เพราะมีการประชุมก็ยกปัญหาการดูแลหญิงตั้งครรภ์ในช่วงสถานการณ์โควิด เพราะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าปกติถึง 2.5 เท่า และไม่ใช่แค่ชีวิตเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ จึงต้องช่วยกันดูแลดังนั้นหากป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ฝากท้องที่ไหนต้องคลอดที่นั่น หากเกินศักยภาพจะต้องดูแล ส่งต่อ
สำหรับการรักษาจะใช้ยาเรมดิซีเวีย ซึ่งจะมีการกำชับให้มากขึ้นเพราะไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย ทั้งนี้ ดีที่สุดคือการป้องกันโดยการฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี่หญิงตั้งครรภ์สามารถฉีดได้ที่คลีนิคต่างๆ ด้วย ส่วนเรื่องการทำงานนั้นได้มีการทำบับเบิลแอนด์ซีล อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กรมอนามัยได้จัดแนวทางการทำงานของหญิงตั้งครรภ์ เสนอต่อที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (ศปก.สธ.) พิจารณาออกข้อบังคับให้หญิงตั้งครรภ์ทำงานที่บ้าน (work from home) 100% จากเดิมที่เป็นเพียงมาตรการขอความร่วมมือเท่านั้น
ทพ.อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ตามกฎหมายกำหนดให้โรคโควิด -19 เป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน สถานพยาบาลต้องให้การรักษา ปฏิเสธไม่ได้ หากเกินศักยภาพต้องดูแลประสานส่งต่อ ทั้งนี้หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังห้ามเรียกเก็บเงินค่ารักษาด้วย จากนี้จะมีการกำชับสถานพยาบาลเรื่องนี้มากขึ้น