"วัคซีนโควิดเด็ก" ล่าสุดวันนี้ (4 ตุลาคม 2564) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Kick off สร้างเกราะป้องกันด้วยวัคซีนเด็กปลอดภัย เรียนอุ่นใจ ต้อนรับเปิดเทอม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนในเด็กกับ พ่อแม่ ผู้ปกครอง พร้อมชูมาตรการ Sandbox ลดความเสี่ยงของโควิด ณ โรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์กรุงเทพมหานคร
นายกรัฐมนตรีกล่าวยินดีที่ได้เป็นประธานในงาน Kick off การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างเกราะป้องกันให้แก่เด็กนักเรียน เพื่อเปิดเทอมอย่างปลอดภัย ในการเปิดภาคเรียนวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้
เเละระบุว่าการฉีดวัคซีนให้กับเด็ก/เยาวชน ในวันนี้เป็นการส่งเสริมความพร้อมด้านการศึกษาให้เดินหน้าต่ออย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับผู้ปกครองเมื่อต้องส่งบุตรหลานมาเรียนที่โรงเรียน โดยเป็นการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก หรือ WHO เป็นวัคซีนที่สามารถใช้ในกลุ่มเด็กได้ และรัฐบาลจะเดินหน้าจัดหาวัคซีนชนิดอื่นเพิ่มเติม
เพื่อให้สามารถเดินหน้าการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมทั้งหมด ซึ่งจะทำให้การเปิดภาคเรียนที่ 2 สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
ยืนยันว่าในปีหน้าจะมีวัคซีนเพียงพอ รัฐบาลเตรียมแผนวัคซีน 150-170 ล้านโดส ให้ฉีดได้ครบถ้วนตามเป้าหมายไว้
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขวางแนวทางฉีดวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 12–18 ปี (ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือเทียบเท่า) ประมาณ 4.5 ล้านคนทั่วประเทศ ระยะแรกได้จัดสรรวัคซีน 2 ล้านโดสในต้นเดือนตุลาคมนี้
ซึ่งบูรณาการกับงานอนามัยโรงเรียนเพื่อให้เด็กเข้าถึงวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฉีดวัคซีนไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการเปิดเรียนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
แต่การฉีดวัคซีนช่วยให้เด็กวัยเรียน มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่วนเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็สามารถเข้าเรียนได้ ควบคู่กับการเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัวไม่ได้เรียนหนังสือ หรือกลุ่มนอกระบบการศึกษา สามารถเข้ารับวัคซีนที่โรงพยาบาลที่รักษาประจำได้ ส่วนเด็กเรียนที่บ้านหรือโฮมสคูล ลงทะเบียนรับวัคซีนกับโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เช่นกัน
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กจะเป็นไปตามความยินยอมของนักเรียนและผู้ปกครอง ไม่เป็นการบังคับ ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไปบ้างแล้ว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลผลงานวิจัยในต่างประเทศ ในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA ได้แก่ ไฟเซอร์และโมเดอร์นา พบว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis)
ซึ่งพบบ่อยกว่าในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้ชายหลังรับวัคซีนโดสที่ 2 อาจทำให้เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง แต่อาการจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์ สำหรับประเทศไทยพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่คณะผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนเพียง 1 ราย เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี มีภาวะโรคอ้วน
แต่สามารถรักษาหายเป็น ปกติแล้ว ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองมีความกังวลและประสงค์ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายนั้น หากบริษัทผู้ผลิตยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนปรับการใช้ในเด็กกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะจัดบริการเพิ่มเติมให้ต่อไป
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การป้องกันโควิดในสถานศึกษา ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแนวปฏิบัติ Sandbox : Safety Zone in School
สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อมสามารถเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนได้ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดได้ ขอให้โรงเรียน และนักเรียนปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด ด้วยการจัดอาคารและพื้นที่โดยรอบของโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย
ประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop COVID 2 Plus โดยถือปฏิบัติเข้มข้นต่อเนื่องกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมข้ามกลุ่มกัน จัดระบบการให้บริการอาหารสำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา
ตามหลักมาตรฐานสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามแนวปฏิบัติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในการป้องกันโรคโควิด ในสถานศึกษา ได้แก่ การระบายอากาศภายในอาคาร การทำความสะอาด คุณภาพน้ำอุปโภคบริโภค และการจัดการขยะ ควบคุมการเดินทางเข้าและออกจากโรงเรียนอย่างเข้มข้น มีระบบติดตามเข้มงวดของครูและบุคลากร
พร้อมเฝ้าระวังตนเองผ่าน Thai save Thai สม่ำเสมอ ตรวจคัดกรองและสุ่มตรวจโดยใช้วิธี Rapid Antigen Test รวมถึงการได้รับวัคซีนของครู บุคลากร ผู้ปกครอง และนักเรียน ในกรณีที่โรงเรียนมีการเปิดเรียนแล้วพบการติดเชื้อภายในโรงเรียนต้องปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด