นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด 19 และการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียน ว่า อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ พบว่ามีความสัมพันธ์กับการฉีดวัคซีน mRNA ส่วนใหญ่เกิดในเด็กชายอายุ 12-17 ปี ในการฉีดเข็มที่ 2 พบประมาณ 6 คนใน 1 แสนคน อาการไม่รุนแรงและหายเองได้ ประเทศไทยจากการฉีด 1.3 แสนคน พบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 4 คน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการฉีดวัคซีนมีประโยชน์มากกว่าผลข้างเคียง กระทรวงสาธารณสุขจึงจะฉีดวัคซีนให้เด็กผู้หญิง 2 เข็ม ส่วนเด็กผู้ชายจะฉีดเข็มเดียวก่อน เพื่อติดตามข้อมูลและประเมินผลข้างเคียง ตามคำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย
วันนี้ (4 ต.ค.2564) เริ่มฉีดวัคซีนในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปเป็นวันแรก โดยให้โรงเรียนเป็นสถานที่ฉีดเพื่อความสะดวกในการเดินทาง แต่ละจังหวัดโรงเรียนและโรงพยาบาลจะหารือกันเพื่อจัดการฉีดได้สอดคล้อง รวมถึงฉีดนักเรียนชาวต่างชาติด้วย สำหรับกลุ่มโฮมสคูลที่ไม่อยู่ในระบบ จะจัดสรรวัคซีนไปที่จังหวัดและนัดหมายลงทะเบียนการฉีดในระยะต่อไป กรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยแต่อายุต่ำกว่า 18 ปี ให้แสดงความจำนงที่จังหวัด เพื่อจัดสรรวัคซีนฉีดให้ ส่วนกรณีนักเรียนมัธยมที่อายุเกิน 18 ปีอนุโลมให้ฉีดไฟเซอร์เหมือนเพื่อนในชั้นเรียนได้ ทั้งนี้ วันที่ 6 ตุลาคม จะมีวัคซีนไฟเซอร์มาอีก 1.5 ล้านโดส และสัปดาห์ถัดไปอีก 1.5 ล้านโดส ดังนั้น 2 สัปดาห์ ที่จะถึงนี้จะมีวัคซีนทั้งหมด 5 ล้านโดสกระจายไปให้เพียงพอกับความต้องการฉีด
แม้ขณะนี้จะมีการฉีดวัคซีนในครูและบุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 80-90% และกำลังเร่งฉีดให้ครบ 100% รวมถึงเริ่มมีการฉีดวัคซีนในเด็กนักเรียนแล้ว แต่เพื่อให้การเรียนการสอนมีความปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ขอให้จัดสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย โดยเฉพาะสิ่งแวดล้อม ระบบถ่ายเทอากาศ
การเว้นระยะห่าง การทำกิจกรรมร่วมกันต้องเคร่งครัด โดยเฉพาะการรับประทานอาหารร่วมกัน เน้นย้ำการสวมหน้ากาก ทำความสะอาดสถานที่ โรงเรียนประจำอาจต้องมีการตรวจ ATK เป็นระยะ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่
สำหรับวันนี้ (4 ต.ค.2564) ประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยโควิดรักษาหาย 12,336 ราย สูงกว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ต่ำกว่าหมื่นราย คือ 9,978 ราย และมีผู้เสียชีวิต 97 ราย แนวโน้มถือว่าลดลง แต่จังหวัดชายแดนใต้ยังพบการติดเชื้อสูงคิดเป็น 21% ของประเทศ ซึ่งผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 12 ได้ลงไปบูรณาการสนับสนุนการควบคุมโรคในพื้นที่แล้ว และมีการจัดส่งวัคซีนไปเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วน ร่วมกับการเคร่งครัดมาตรการส่วนบุคคล การดูแลป้องกันการติดเชื้อในสถานที่ทำงาน และการป้องกันลักลอบเข้าเมือง คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ขณะนี้ฉีดสะสม 55 ล้านโดส คาดว่าสิ้นปี 2564 จะฉีดเข็ม 1 ได้ 60 ล้านโดส เข็ม 2 ประมาณ 52 ล้านโดส และเข็ม 3 อีก 7 ล้านโดส รวมเป็น 119 ล้านโดส ส่วนปี 2565 จะฉีดเข็ม 1 สำหรับกลุ่มตกค้าง คือ อายุ 3-11 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนฉีดในกลุ่มนี้ได้ ประมาณ 6 ล้านคน เข็ม 2 ประมาณ 14 ล้านโดส และเข็ม 3 อีกประมาณ 66 ล้านโดส รวม 86 ล้านโดส ซึ่งกรมควบคุมโรคเซ็นสัญญาจัดซื้อกับแอสตร้าเซนเนก้าแล้ว 60 ล้านโดส จำนวนที่เหลือกำลังทยอยทำสัญญา