- ประการ2 รัชกาลที่5ทรงยกเลิกระบบไพร่คือประชาชนที่ต้องสังกัดมูลนายสักเลขไว้ที่ข้อมือ จะเรียกใช้แรงงานบ้าน งานสงคราม งานสาธารณะใดๆก็ได้ตามใจนายจนตาย จะย้ายนายไม่ได้ เมื่อนายตายก็ตกเป็นไพร่หลวง พวกไพร่ไม่มีสิทธิเสรีภาพใดๆ การยกเลิกระบบไพร่ให้เป็นไทแก่ตัว ก็เท่ากับทรงขัดผลประโยชน์เจ้านายขุนนางทั้งแผ่นดิน แต่เพื่อความเสมอภาคของราษฎร พระองค์ก็ทรงเสี่ยงกับเสถียรภาพของราชบัลลังก์
- ประการที่3 รัชกาลที่5ทรงเลิกทาส ในช่วงเวลาเดียวกับการเลิกไพร่ โดยไม่มีผู้ใดเดินขบวนเรียกร้อง แต่พระองค์ทรงเห็นว่าระบบทาสเป็นความป่าเถื่อน กดขี่ข่มเหงเสมือนมนุษย์เป็นสัตว์เดียรฉาน เมื่อต้องขายตัวขายลูกเมียมาเป็นทาส แม้ลูกที่เกิดในขณะเป็นทาสก็เป็นสมบัติของนายคือทาสในเรือนเบี้ยไม่มีปัญญาหาเงินมาไถ่ถอน นายจะเฆี่ยนจะฆ่าจะทำอนาจารก็หาความเป็นธรรมมิได้ พระองค์จึงทรงเลิกระบบทาสที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานานหลายศตวรรษโดยไม่มีสงครามกลางเมืองอย่างในหลายประเทศ ทาสและไพร่จึงได้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์เท่าเทียมกันทั้งแผ่นดิน
- ประการที่4 พระองค์ทรงยกเลิกระบบการบริหารราชการแผ่นดินจากระบบจตุสดมถ์(สี่แท่ง)คือเวียงวังคลังนาที่มีมาแต่ครั้งก่อนพระบรมไตรโลกนาถในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น แล้วทรงสถาปนาระบบราชการเป็นกระทรวงทบวงกรม อันเป็นการกระจายพระราชอำนาจ และเปิดโอกาสให้ไพร่ทาสราษฏรทั้งปวงได้รับราชการ มีรายได้ มีเกียรติยศ อีกทั้งทรงออก พรบ.เกณฑ์ทหาร๒ปีแล้วปลดออกไปทำงานอาชีพมีรายได้ของตน เขาเหล่านี้สามารถสะสมทรัพย์ให้ร่ำรวยมีความมั่นคงในอนาคตได้เสมอหน้ากัน
- ประการที่5 รัชกาลที่ 5 ทรงเอาชีวิตเกียรติยศและพระราชทรัพย์ของพระราชวงศ์เป็นเดิมพัน ทรงตัดพระทัยยอมสละดินแดน ครึ่งหนึ่งของประเทศเพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของปวงชนชาวไทยเอาไว้เพื่อมิให้อังกฤษและฝรั่งเศสฉีกประเทศไทยออกเป็นสองเสี่ยงตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ทรงสั่งลาบ้านเมืองเสด็จรอนแรมทางทะเลที่แสนไกลและอันตรายไปเจรจาหามิตรภาพกับนานาประเทศไกลถึงรัสเซีย นอร์เวย์ ที่หนาวเหน็บนานถึงแปดเดือนเพื่อเอามิตรไมตรีมาช่วยค้ำจุนบ้านเมืองที่กำลังล่อแหลมต่อการตกเป็นเมืองขึ้น เอกราชมีราคาแพงกว่าลมปราณของพระองค์ที่ทรงวางเป็นเดิมพันเพื่อศักดิ์ศรีแห่งเสรีภาพและเอกราชของคนไทย
- ประการที่6 พระราชกรณียกิจที่กล่าวมาอาจมองว่าเป็นหน้าที่ของพระราชาที่ต้องทำ แต่ยังมีอีกภาพหนึ่งที่อาจเรียกว่าพระนิสัยที่รักความเท่าเทียมกันของมนุษย์ อาทิ ทรงให้เลิกหมอบคลาน ทรงนิยมเสด็จประพาสต้นแบบสามัญชนไปเยี่ยมเยียนพบปะพูดจาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับราษฎรใกล้ไกล และทรงนับไว้เป็นพระสหาย แม้เสด็จไปขึ้นรถรางแล้วถูกนายตั๋วไล่ลงเพราะไม่มีเงินค่าโดยสาร ก็เสด็จลงแต่โดยดี มิได้แสดงพระราชอำนาจแม้แต่น้อย พฤติกรรมเหล่านี้คือจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้มีความเท่าเทียมอยู่ในพระกมลสันดาน
ดังนั้น "พระเกี้ยว" จึงไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่ และความไม่เท่าเทียม แต่พระเกี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย ที่รัชกาลที่5 พระราชทานไว้เมื่อเมืองไทยยังไม่มีประชาธิปไตย พระเกี้ยวจึงเป็นสัญลักษณ์ ของอุดมการณ์ แห่งการอุทิศชีวิต ต่อสู้แสวงหา เพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาคอันเป็นเอกลักษณ์ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ดังนั้นการอัญเชิญพระเกี่ยวไม่ใช่เพียงการประกาศเกียรติภูมิจุฬาฯ แต่เป็นการประกาศว่า เราคนไทยจักธำรงความเป็นคนที่มีกตัญญูกตเวที พร้อมใจกันยึดถือพระราชมรดก ความเท่าเทียมกันของมนุษย์ นี้เป็นอุดมคติร่วมแรงร่วมใจกันทำนุบำรุงนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคต อย่าหวังเลยว่าเราจะหวั่นไหวที่ไม่มีแห่พระเกี้ยวเพราะพระเกี้ยวสถิตอยู่ในจิตวิญญาณแห่งความเท่าเทียมกันของเราเสมอ จากเด็กกำพร้ายากจนคนเกิดกลางสงรามโลกครั้งที่สองได้ดีมีอนาคตมาถึงจุดนี้ก็เพราะโอกาสแห่งความเท่าเทียมที่ทรงพระราชทานไว้
สุรพล วิรุฬห์รักษ์
24ตุลาคม2564