"โอมิครอน" ในไทยกับ 8 แนวทางรับมือจากหมอศิริราช ต้องทำอย่างไรบ้าง เช็กเลย

รายงานข่าวระบุว่า รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล (หมอนิธิพัฒน์) หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความระบุว่า 
ของขวัญปีใหม่สำหรับคนไทยก่อนจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2565 ในอีกสองวันข้างหน้า คือยอดผู้ป่วยโอมิครอน (Omicron) ที่เกิดขึ้นในประเทศน่าจะเริ่มแตะหลักพันพอดี ในขณะที่คุณเดลตาเขาบุกหนักมาจนเริ่มล้าและโดนแซงเข้าป้าย เช่นเดียวกับทีมบอลช้างศึกที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมต่อทีมอิเหนาเมื่อวาน 
โดยรวมตัวเลขรายที่ผลตรวจขั้นต้นสงสัยอยู่ก่อนหน้า ซึ่งผลตรวจยืนยันในอีกสองสามวันให้หลังก็มักจะใช่โอมิครอนไม่มีผิดพลาด แต่ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดจากข้อมูลในต่างประเทศที่มากเพียงพอ และข้อมูลในประเทศที่เริ่มมีสะสมขึ้นมาบ้างแล้วว่า โอมิครอนติดได้ง่ายกว่าเดลตาแต่ไม่ได้มากมายอย่างที่คิด ที่สำคัญโอมิครอนติดแล้วเกิดอาการรุนแรงได้น้อยกว่าเดลตา 

ถ้าทุกฝ่ายยอมรับข้อเท็จจริงนี้ การสร้างฉันทามติร่วมกันของภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคการแพทย์ เพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์รับมือกับโอมิครอนหลังปีใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมตัวกันไว้แต่เนิ่นๆ
ประการแรก ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลัว “โอมิครอน” พอๆ กับกลัว “อดไม่(มี)กิน” ต้องยอมให้มีกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจตามสมควร ตราบใดที่ไม่ทำให้ยอดผู้ป่วยมากขึ้นจนเกินกำลังศักยภาพที่ภาคการแพทย์จัดเตรียมไว้ ภายใต้เงื่อนไขว่าศักยภาพของภาคการแพทย์ต้องใช้ดูแลผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่โควิด ให้ได้ดีตามวิถีใหม่ควบคู่ไปกับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 (Covid-19)

ประการที่สอง แผนการรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่จะมีมากขึ้น ต้องมุ่งเน้นไปที่การแยกกักตัวที่บ้าน (home isolation, HI) หรือในชุมชน (community isolation, CI) เพราะทุกฝ่ายได้สั่งสมประสบการณ์เป็นอย่างดีในช่วงวิกฤตเดลตา อีกทั้งเป็นวิธีการที่ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าประเทศที่ใกล้จะหมดหน้าตักแล้วเต็มที 
โดยภาครัฐและภาคการแพทย์จะต้องให้ความมั่นใจกับภาคประชาชนว่า ได้เตรียมความพร้อมการดูแลรักษาในโรงพยาบาลหลักเมื่อผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยมีข้อบ่งชี้ โดยครอบคลุมประชาชนทุกคนทุกเชื้อชาติในแผ่นดินไทย อย่างเพียงพอและครบถ้วนตามมาตรฐาน  อีกทั้งไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วยและญาติ
 

ประการที่สาม ในกรณีที่จำเป็น ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและสบายดีอย่างน้อย 5 วันหลังการติดเชื้อ สามารถกลับเข้าสู่การทำงานได้เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ยกเว้นบางงานที่ต้องสัมผัสกลุ่มเปราะบาง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ครูสอนเด็กเล็ก พนักงานดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น เพียงแต่จะต้องกวดขันให้คนกลุ่มนี้ใส่หน้ากากสม่ำเสมอ แยกกินอาหาร และเคร่งครัดตามมาตรการควบคุมโรคอื่น
ประการที่สี่ ส่งเสริมให้ประชานชนกลุ่มเสี่ยงหรือประชาชนทั่วไปที่จะต้องทำงานพบปะผู้คน ตรวจ ATK สม่ำเสมอ อาจจะต้องตรวจบ่อยกว่าสัปดาห์ละครั้งในช่วงที่มีการระบาดมาก โดยภาครัฐต้องทำการตรวจรับรองยี่ห้อในท้องตลาดที่ยังมีประสิทธิภาพพอใช้ได้สำหรับโอไมครอน และจัดหาให้มีใช้เพียงพอในราคาที่ย่อมเยา

ประการที่ห้า จากกรณีคลัสเตอร์ที่กาฬสินธุ์และคลัสเตอร์นักศึกษาใน กทม. ช่วยตอกย้ำว่าสถานบันเทิงที่เป็นระบบปิดมีความเสี่ยงเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อได้สูง ถ้าจะผ่อนผันให้เปิดได้ ต้องมีการจัดทำและตรวจสอบมาตรฐานการระบายอากาศพร้อมการทำลายเชื้อในระบบหมุนเวียนอากาศและควบคมอุณหภูมิ (Heating, ventilation, and air conditioning, HVAC) รวมทั้งจำกัดจำนวนและบันทึกข้อมูลผู้ใช้บริการโดยเคร่งครัด
ประการที่หก วัคซีนโควิดที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันโดยเฉพาะวัคซีนของไฟเซอร์ มีข้อมูลสนับสนุนจากประเทศแอฟริกาใต้ว่ายังช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงได้อยู่เพียงพอระดับหนึ่ง (จากเดิม 93% เหลือ 50-70%) รวมถึงผลการศึกษาในห้องทดลองจากประเทสอิสราเอล ที่แสดงให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์เข็มที่สามหลังเข็มที่สองเกือบหกเดือน ช่วยเสริมภูมิต่อโอไมครอนได้ดีทีเดียว ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนกันต่อให้กว้างขวางและอย่างเร็วที่สุด ทั้งเข็มพื้นฐานและเข็มกระตุ้น
ประการที่เจ็ด เมื่อเห็นทิศทางการควบคุมโรคและการรับมือกับโรคในประเทศเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว ให้กลับไปเปิดประเทศโดยเร็ว
ประการสุดท้าย เมื่อสถานการณ์การระบาดเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทุกภาคส่วนต้องยอมรับมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นตามลำดับจนกว่าจะเป็นที่วางใจ 
ถ้าทำได้ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะไม่เกิดการล็อคดาวน์สนิทเหมือนที่ผ่านมาสองครั้งในอดีต