น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
ถ้าใช้โมเดลของอังกฤษ ไทยจะผ่านจุดสูงสุดของโอมิครอน (Omicron) ด้วยการฉีดวัคซีนสะสมวันละ 3.6 แสนโดส และฉีดผู้สูงอายุวันละ 1.2 แสนโดส
อังกฤษซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการระบาดของโควิดด้วยไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนที่รุนแรงมากติดอันดับของโลก
มีผู้ติดเชื้อวันละหลายแสนคน ทำให้มีติดเชื้อสะสมมากถึง 15 ล้านคน ผู้เสียชีวิตสะสม 1.5 แสนคน
แต่ขณะนี้ทางการอังกฤษได้ประกาศว่า ประเทศของตนเองกำลังจะผ่านจุดสูงสุดหรือพีคของโอมิครอนแล้ว
โดยหลังจากนี้ จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเป็นลำดับ นายกรัฐมนตรีอังกฤษมีแผนที่จะประกาศผ่อนคลายมาตรการต่างๆลงในเร็ววัน เช่น
ทั้งนี้ อังกฤษเชื่อว่า ปัจจัยหนึ่งที่มีผลทำให้ผ่านสถานการณ์เลวร้ายมาได้นั้น เกิดจากการฉีดวัคซีนสะสมรวม และฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ได้เป็นจำนวนมากนั่นเอง
ดังนั้นถ้าเรานำโมเดลของอังกฤษมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย
ซึ่งมีจำนวนพลเมืองใกล้เคียงกัน และตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะต้องผ่านพีคหรือจุดสูงสุดให้ได้ก่อนวันที่ 31 มีนาคม 2565 เราจะต้องทำอย่างไรบ้างเกี่ยวกับวัคซีน
อังกฤษฉีดแล้ว 136.79 ล้านโดส
ไทยฉีดแล้ว 111.32 ล้านโดส
อังกฤษฉีดแล้ว 36 ล้านโดส
ไทยฉีดแล้ว 11 ล้านโดส
อังกฤษฉีดแล้ว 90%
ไทยฉีดแล้ว 14.7%
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอังกฤษกับไทยในการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 คือ 25 ล้านโดส เมื่อมีเวลาฉีดอีก 69 วัน ก็จะต้องฉีดให้ได้วันละ 3.6 แสนโดส
ในกรณีวัคซีนเข็ม 3 ผู้สูงอายุ ถ้าไทยจะฉีดให้ได้ 90% เท่ากับอังกฤษ เราจะต้องฉีดเพิ่มอีก 8.2 ล้านโดส คิดเป็นการฉีดเฉลี่ยวันละ 1.2 แสนโดส
ซึ่งจำนวนปริมาณวัคซีนที่ไทยมีอยู่ในมือ และศักยภาพการฉีดวัคซีนของระบบสุขภาพไทย อยู่ในวิสัยที่ทำได้
คงเหลือเพียงการบริหารจัดการ และทำให้ผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีนจำนวนดังกล่าว เข้ามารับการฉีดวัคซีนโดยเร็วต่อไป