วันที่ 3 ก.พ.65 . พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.ภ.2/หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 5 พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม./หน.ชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 1
นำกำลังตำรวจ PCT ตำรวจภูธรภาค 2 และเจ้าหน้าที่หทารกองกำลังบูรพา ปูพรมตะเข็บชายแดนสระแก้ว บุกจับกุมเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ พร้อมออกหมายจับอีกยกแก๊ง 17 ราย และเตรียมขยายผลออกหมายจับเจ้าของบัญชีม้าอีกกว่า 10 ราย
ปฏิบัติการบูรพา 491 ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตัดวงจรส่งคนไทยข้ามแดนไปกัมพูชาในครั้งนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ที่กล่าวมาแล้ว คือ นายณฐกร อายุ 28 ปี และ น.ส.อ้อยใจ อายุ 34 ปี ภรรยาของนายณฐกร เราได้แจ้ง 5 ข้อหาหนัก “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นฯ , หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นฯ ,
เพื่อจะเอาคนลงเป็นทาส หรือให้มีฐานะคล้ายทาส หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร หรือหน่วงเหนี่ยวซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใด ,เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสอง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยยอมรับว่ามีนายปอ หนวดงาม คนไทยเป็นขาใหญ่ควบคุมคอลเซ็นเตอร์ชาวไทยอยู่ฝั่งเขมร
ต่อมาได้เข้าตรวจค้นเซฟเฮ้าส์ลับที่ใช้พักคนไทยก่อนข้ามชายแดน 2 จุด ใน ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว พบพยานหลักฐาน เช่น สมุดบัญชีธนาคาร ระบุชื่อเจ้าของบัญชี น.ส.ชุติมา ประนาประโคน กับ นายธนากร จันทรภิรมย์ หนังสือผ่านแดน (Border Pass) ของผู้ต้องหา สมุดจดบันทึกรายการเข้าออกและค่าใช้จ่าย จำนวน 1 เล่ม
หลังการตรวจค้นเซฟเฮ้าส์ได้นำผู้ต้องหาไปชี้จุดที่นำพาคนไทยข้ามชายแดนไปยังประเทศกัมพูชา บริเวณทุ่งนาด้านหลังปราสาทสด๊กก๊อกธม ซึ่งทางพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ พร้อมชุดปฏิบัติการ ต้องใช้เวลาการเดินเท้าไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร จึงจะถึงแนวชายแดน โดยผู้ต้องหาให้การว่าเมื่อข้ามไปถึงประเทศกัมพูชาแล้ว จะมีคนฝั่งกัมพูชานำทางต่อ เพราะว่าบริเวณแนวชายแดนมีกับระเบิดของทหารกัมพูชาอยู่ หากไม่ชำนาญเส้นทางจะทำให้ถูกกับระเบิดได้
ขณะที่ ทางพล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า ขณะนำชี้ที่เกิดเหตุมีผู้เสียหายรายหนึ่ง อ้างว่าเคยเป็นเหยื่อในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลบหนีกลับมาประเทศไทยได้ เข้าพบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากส่งคนไทยข้ามแดนแล้วก็จะมีคนมารับต่อ เมื่อไปถึงฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากนั้นจะถูกจับเป็นทาส ให้ทำงานหลอกคนไทยให้โอนเงินให้ โดยบังคับให้ทำงานวันละ 15 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ถูกกักขัง หากขัดขืนไม่ทำงานก็จะถูกทารุณต่างๆนาๆ
ทั้งกักขังและทำร้ายร่างกาย ในบางรายถูกขายต่อให้กับแก๊งอื่นๆ สภาพเหมือนตกนรก แต่บางรายก็เต็มใจในการหลอกคนไทยเพราะจะได้เงินส่วนแบ่งดี แต่ผู้เสียหายรับไม่ได้ที่จะหลอกคนไทยด้วยกันจนมีผู้ถูกหลอกบางคนโทรกลับมาขอเงินคืน และถึงกับจะฆ่าตัวตาย
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยกำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19
สำหรับคดีนี้ ได้พยานหลักฐานมาพอสมควรแล้วออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมรวม 19 คน โดยเฉพาะ นายปอ หนวดงาม ตัวการใหญ่คนไทยที่ควบคุมคนไทยหลอกคนชาติเดียวกันเอง โดยจะเร่งประสานความร่วมมือกับประเทศกัมพูชา เพื่อนำตัวมาดำเนินคดี
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ปัจจุบัน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ระบาดหนักและมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หลากหลายรูปแบบ เช่น หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด โดยปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกว่าได้รับรางวัล หลอกให้หลงรักและชวนลงทุน หลอกให้กู้เงินออนไลน์ และมีการพัฒนาไปถึงการ หลอกให้โอนเงินเข้าเว็บเทรดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่
ซึ่งเป็นเว็บเทรดผี โดยโอนเงินเข้าไปในรูปแบบสกุลเงินดิจิทัล( Usdt ) แล้วไม่สามารถถอนเหรียญได้ จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชน อย่าตกเป็นเหยื่อหลงเชื่อง่ายๆ หากพบเบาะแสสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ ศูนย์ PCT 081-8663000 เวลาราชการ หรือ สายด่วน บช.สอท. 1441 ตลอด 24 ชม.