จากกรณีที่โรงแรมหรู "โซเนวาคีรี" ไฟไหม้ เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 65 ล่าสุดผู้ประสบเหตุไฟไหม้ ซึ่งได้เข้าพักในวันที่เกิดเหตุต่างออกมาแชร์ประสบการณ์เลวร้าย ที่แสดงถึงความผิดหวังของโรงแรมราคาหลักแสน แต่มีระบบการรักษาความปลอดภัยและระบบป้องกันไฟไหม้ที่แย่มากจนไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในโรงแรมหรูเช่นนี้
โดย‘แยม ธมลพรรณ์ ภานุชิตพุทธิวงศ์’ นักแสดงสาว โพสต์ ig บอกเล่า นาทีหนีตาย ไฟไหม้ รีสอร์ทหรูบนเกาะกูด จ.ตราด และ เพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน ของ หมอโอ๋ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้โพสต์ข้อความเล่าเหตุการณ์ระทึก ในคืนเกิดไฟไหม้ ไร้สัญญาณเตือนไฟไหม้ จนได้รับอุบัติเหตุกับร่างกาย
จากนั้นเว็บไซต์ทางการของ ‘‘โซเนวา’ (soneva) ออกแถลงการณ์ ระบุว่า
“คำแถลงการณ์จากโซเนวา ในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2565 ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในวิลล่า 63 ที่โซเนวา คีรี ผู้เข้าพักทุกท่านที่อยู่ในวิลล่าดังกล่าว ได้รับการอพยพอย่างปลอดภัย โซเนวารู้สึกเสียใจและห่วงใยแขกทุกท่าน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง
เราสามารถควบคุมเพลิงได้ ทำให้ไม่ลามไปยังวิลล่า และส่วนอื่นๆ ของเกาะ หรือของรีสอร์ท ขณะนี้สาเหตุของเพลิงไหม้ ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดและอยู่ในระหว่างการตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โซเนวา คีรี ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ รวมถึงร้านอาหาร และกิจกรรม ทั้งหมดไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ที่โซเนวา เรามีมาตรการ และปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ทั้งที่โซเนวา คีรี และรีสอร์ทในเครือโซเนวาทั้งหมด วิลล่าทุกหลังของเราติดตั้งเครื่องตรวจจับควันไฟในห้องนอนทุกห้อง ระเบียบการจัดการด้านอัคคีภัย และความปลอดภัยของเราได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ป่า
เรามีทีมดับเพลิงที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี รวมทั้งมีทีมพร้อมปฏิบัติการเต็มรูปแบบ ซึ่งได้รับการฝึกซ้อมเกี่ยวกับความปลอดภัยจากอัคคีภัยเป็นประจำ จากความพยายามของเจ้าหน้าที่ควบคู่ไปกับระบบปฏิบัติการที่แข็งแกร่ง เราสามารถควบคุมไฟได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ลุกลามไปยังวิลล่าและพื้นที่อื่นๆ ในรีสอร์ท เราขอขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของทุกคนที่เกี่ยวข้อง และเราจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน”
ล่าสุดพญ.จิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ได้ออกมาโพสต์ข้อความอีกครั้ง โดยยืนยันว่า ไม่มีระบบเตือนภัย ไม่ได้ยินเสียงสัญญาณใดๆ แต่โชคดีที่ครอบครัวตะโกนบอกให้หนีจนต้องปีนระเบียงออกมา แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหนัก แถมยังมีทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก รวมทั้งข้อมูลงานวิจัยในคอมพิวเตอร์ โดยในข้อความระบุว่า
#ความสูญเสียหลายอย่างตีค่าเป็นราคาไม่ได้
พอดีมีคนส่งมาให้ หมอไม่ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้บริหารโรงแรมจริงหรือเปล่านะคะ
แต่อยากเรียนให้ทราบว่า
ส่วนตัวหมอไม่ได้มีปัญหากับพนักงานที่โรงแรมนี้เลย เพราะพนักงานทุกคนน่ารักมาก แม้เพิ่งจะมาพักได้วันเดียว ก็รู้สึกว่าทุกคนมี service mind ที่ดีจริงๆ
ยิ่งกับผู้บริหารก็ยิ่งไม่อยากมีปัญหา เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าทำโรงแรมระดับนี้ นี่เค้าจะใหญ่โตกันขนาดไหน
เราทราบว่าไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ เราก็เข้าใจว่าอุบัติเหตุมันเกิดได้ แต่โรงแรมระดับนี้ มันควรมีระบบป้องกันชีวิตที่ปลอดภัย หรือมีระบบช่วยให้เรารอดได้มากกว่านี้
หมอเขียนเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ว่าตลอดเวลาของการเกิดไฟไหม้ ไม่มีใครได้ยินเสียงสัญญาณเตือนใดๆ ไม่มี springer ไม่มี smoke detector ทำงาน มีแต่เสียงเรียกโวยวายของพวกเรากันเองเท่านั้น
พนักงานมาถึงตอนที่พวกเราหนีตายกัน “ออกมาเอง” หมดแล้ว โดยการที่เราได้โทรตามบัทเลอร์ประจำห้องทางมือถือ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร
แต่ต้องขอบคุณพนักงานของโรงแรมมากๆ ที่ได้ช่วยเหลือ ทำแผล และเคลื่อนย้ายหมอไปโรงพยาบาลแบบปลอดภัยเป็นอย่างดี
หมอได้อ่านแถลงการณ์ของโรงแรมแล้ว ที่บอกว่าโรงแรมมีระบบ smoke detector “ที่ห้องนอน” ทุกห้อง เป็นไปได้ว่า ห้องที่เกิดไฟไหม้ “ไม่ใช่ห้องนอน” แต่เป็นห้องส่วนกลางของวิลล่า เพราะเราทุกคนที่อยู่ในห้องนอน ยังไม่เจอไฟ เลยหนีตายออกมาได้ทัน
วันที่หมอต้องมาโรงพยาบาลในจังหวัดตราด ครอบครัวที่เหลือตัดสินใจที่จะอยู่ต่อเพื่อรอดูอาการหมอว่าหนักมั้ย และอยากเดินทางกลับพร้อมกัน ครอบครัวได้ไปนอนที่ห้องพักขนาด 5 ห้องนอน ซึ่งคล้ายกับ 6 ห้องนอนที่เราเคยพัก
น้องชายหมอก็ถามผู้บริหารว่าหลังนี้ พื้นที่ส่วนกลางที่ไม่ใช่ห้องนอน มีเครื่องตรวจจับควันหรือไม่ ผู้บริหารยอมรับเองว่า “ไม่มี” และยังพูดว่าจะติดตั้งเพิ่มเติมให้
โรงแรมสามารถออกมาบอกได้นะคะว่าเราได้พบปัญหาที่จุดนี้ และเราจะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น ดีกว่าการออกมาบอกในแถลงการณ์ ที่ทำให้คนเข้าใจว่าเรากล่าวหาโรงแรม
จากประโยคที่เขียนว่าคนเสียหายที่สุด คือ “โรงแรม”
หมออยากให้เข้าใจว่า ความสูญเสียบางอย่างตีเป็นมูลค่าไม่ได้
คุณแม่หมอ สูญเสียโทรศัพท์ 2 เครื่อง ที่เป็นของคุณพ่อและคุณแม่ ภาพความทรงจำถึงคนที่จากไปทั้งหมดอยู่ในนั้น แบบที่มันเรียกคืนมาไม่ได้ ยังไม่รวมถึงแหวน นาฬิกา แทนใจที่คุณพ่อให้คุณแม่ไว้ตอนมีชีวิตอยู่
หมอและสามี ที่เป็นอาจารย์โรงเรียนแพทย์ เสียข้อมูลที่เราต้องใช้สอน ทำวิจัย ไปกับคอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง ซึ่งเรื่องนี้สำหรับเรา มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ที่นึกถึงทีไรก็อยากร้องไห้ทุกที
สามีที่เป็นหมอผ่าตัด อาจใช้งานมือข้างขวาที่บาดเจ็บไม่ได้ไปอีกพักใหญ่
ลูกสาวหมอ สูญเสียของเล่น ตุ๊กตา สมุดบันทึกที่เค้ารักมาก
ตอนนี้หมอกระดูกสันหลังยุบ ต้องใส่เสื้อเกราะ ขับรถไม่ได้ไปอีกหลายเดือน ยังไม่รู้ว่าจะมีปัญหาการปวดหลังเรื้อรังระยะยาวมั้ย
ที่สำคัญ ไม่อยากนึกเลยว่าที่หมอและสามีต้องตกลงมา เพราะรั้วระเบียงที่เป็นไม้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี แล้วถ้ากระดูกหลังหักจนพิการ มันจะเจ็บปวดขนาดไหน หรือถ้าเราตกมาสลบทั้งคู่ ลูกที่ติดอยู่บนนั้น จะทำอย่างไร?
สิ่งเหล่านี้ มันตีค่าเป็นมูลค่าไม่ได้จริงๆ
ที่สำคัญคือ เราเสียเงินมารีสอร์ท เพราะต้องการมามีความสุข ไม่ใช่มาหนีตายกันแบบแทบเอาชีวิตไม่รอด จนหลายคนตอนนี้ยังนอนไม่ได้ เพราะมีภาพไฟหลอนอยู่ตลอด
สำหรับเรื่อง “คดีพลิก” ว่าอาจไม่ใช่ความผิดของโรงแรม
ตอนเหตุการณ์ไฟไหม้ เป็นเวลาประมาณ 6 โมงกว่าๆ เราทุกคนยัง “ไม่มีใครตื่น” บ้านเราไม่มีใครสูบบุหรี่ ไม่ได้มีปาร์ตี้ ไม่ได้มีปิ้งย่างใดๆ (มีคนส่งมาให้ดูว่ามีคน(แอบอ้าง?) เป็นพนักงานโรงแรมเขียนคอมเมนท์ว่าสืบแล้วบอกว่า อาจเกิดจากบุหรี่?? เอิ่ม อย่าใช้วิธีแบบนี้เลยนะคะ
โชคดีตอนกำลังจะหนีไฟลงมาจากชั้น 2 หมอหันไปถ่ายรูปกองเพลิงขนาดใหญ่ไว้ เผื่อโรงแรมจะใช้เป็นหลักฐานว่าไฟเริ่มจากตรงไหน ซึ่งส่วนที่เพลิงไหม้นั้น คือพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นห้องนั่งเล่น ลามไปปิดบันไดลงด้านล่างไว้ ทำให้หมอต้องหนีตายมาทางหลังคาด้านข้าง
ไม่คิดว่าภาพนี้สุดท้ายจะต้องมาใช้มาเป็นหลักฐานปกป้องตัวเอง
คดีนี้ ถ้าจะพลิก ก็คงจากเงินและอิทธิพลจริงๆ
หมอขอบคุณที่ทางโรงแรมช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลของหมอแบบไม่มีข้อต่อรองใดๆ นะคะ
เราก็ได้แต่หวังว่า โรงแรมจะช่วยรับผิดชอบกับทรัพย์สินที่เราสูญเสียไปแบบตรงไปตรงมา
เอาจริงๆ กรณีแบบนี้ ถ้าเป็นฝรั่งคงฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันแบบบานตะไทแน่ๆ เราก็ไม่ได้อยากไปให้ถึงจุดนั้น เพราะไม่ว่าเท่าไหร่ มันก็ไม่คุ้มกับชีวิตที่ต้องเป็นอันตรายของพวกเราจริงๆ (แต่การตอบสนองแบบนี้ นี่เริ่มคิดนิดๆละ เผื่อจะได้เลิกทำงานงกๆ กะเค้ามั่ง)
อ้อๆๆๆ อีกอย่าง ตอนนี้คนพูดกันใหญ่ว่าหมอโอ๋รวยมากก นอนพักวิลล่าคืนละ 500,000
พอดีคุณแม่หมอรู้จักกับเพื่อนของผู้บริหาร เราเลยได้ส่วนลดมากพอสมควร และราคาตอนนี้จริงๆ ก็ไม่ถึงแล้ว และเราไม่ได้รับสปอนเซอร์ ไม่ได้รับรีวิวใดๆ เราจ่ายเงินทั้งหมดเต็มจำนวน
ส่วนใหญ่น้องชายของหมอ ที่เป็นนักธุรกิจ ชื่อคุณอ้ำ สามีน้องแยม ธมลพรรณ์ อดีตดาราช่อง 7 ก็เป็นคนช่วยจ่ายหลักค่ะ
ส่วนหมอก็มาอาศัยใบบุญน้องชายไปเที่ยว เราทั้งคู่ยังต้องทำงานหาเงินงกๆ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ กันอยู่ค่ะ
ใครอยากจ้างไปสอน ทำ workshop อะไร รับหมดเลยนะคะ
อ้อๆ ลืมไป
ตอนนี้ยังใส่แพมเพริ์ส นอนฉี่อยู่บนเตียงอยู่
ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เป็นกำลังใจให้บ้านเรานะคะ
#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ผู้เชื่อว่าความรับผิดชอบอย่างจริงใจเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นผู้บริหารมืออาชีพ