วันที่ 14 มี.ค.65 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.แถลงช่วงหนึ่งว่า สิ่งที่ศบค.ชุดเล็กกังวล ก็คือ ในจำนวนผู้เสียชีวิต 69 รายวันนี้ มีถึง 61 รายคิดเป็น 89% ยังได้รับวัคซีนไม่ครบโด้ส มี 26 รายไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มที่ 1 มี 8 รายได้รับวัคซีนเข็ม 3 แล้วแต่พบว่าทั้งหมดเป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว
เมื่อสำรวจการให้บริการวัคซีนกลุ่มเป้าหมายหลักของปี 2565 มีประชากรอายุเกิน 60 ปี กลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ 12,704,543 ราย ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 83.3% เข็มที่ 2 ไปแล้ว 78.8% ส่วนเข็มที่ 3 ยังค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 32% ณ วันที่ 13 มีนาคม 2565
ดังนั้นยังมีผู้สูงอายุกว่า 2 ล้านคน ยังไม่ได้รับวัคซีน บางท่านยังไม่ได้รับแม้แต่เข็มที่ 1 ขอให้ลูกหลานเร่งนำญาติผู้ใหญ่มารับวัคซีนโดยเฉพาะผู้สูงอายุกว่า 2 ล้านคน ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว และผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็ม 2 เกิน 3 เดือนไปแล้ว อยากให้เข้ามารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วย
พญ.อภิสมัย เน้นย้ำว่า หากประชาชนมีอาการไอ มีไข้ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ หรือไม่มีอาการ แต่ไปสัมผัสผู้ป่วยยืนยัน หรือผู้ป่วยสัมผัสเสี่ยงสูง หรือเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง นอกจากตรวจ ATK เองแล้ว ให้คอยสังเกตอาการคนรอบข้าง และให้เข้าสู่กระบวนการรักษาให้เร็วที่สุด โดยติดต่อไปที่ 1330 สปสช. ซึ่งภายใน 6-24 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับ และจับคู่กับสถานพยาบาลให้ อย่างไรก็ดี ศบค.ต้องขออภัย หาก สปสช.ยังไม่ได้มีการติดต่อกลับไป เนื่องจากปริมาณผู้ป่วยที่เข้าระบบเกินกว่า 4 หมื่นคนต่อวัน
นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก ได้มีการพิจารณาเรื่องสำคัญ คือ ในกรณีที่รอการติดต่อกลับจาก สปสช. มีระเบียบการประเมินคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 หรือ UCEP Plus ซึ่งก่อนหน้านี้ ศบค.ขอความร่วมมือประชาชนว่า หากเป็นผู้ป่วยสีเขียวขอให้เข้าระบบ 1330 ตามปกติ สงวนเตียงสีเหลือง สีแดง สำหรับผู้ที่มีความจำเป็นจริงๆ แต่ตอนนี้การพิจารณานิยามของคำว่า วิกฤติ ขอให้ทางโรงพยาบาลศึกษาให้ดี เพราะไม่ใช่เกณฑ์สีแดงเหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ระบบสาธารณสุขยังอยู่ในเกณฑ์ที่รองรับได้ ซึ่งในการประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันที่ 18 มี.ค.นี้ อาจมีการผ่อนคลายกิจการ กิจกรรม เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตได้ปกติและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้