แอนโดรกราโฟไลด์ นาโน อิมัลชันต้านโควิดตัวแรกของโลกสรรพคุณอย่างไร อ่านเลย

22 มี.ค. 2565 | 09:26 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2565 | 16:26 น.

แอนโดรกราโฟไลด์ นาโน อิมัลชันต้านโควิดตัวแรกของโลกมีสรรพคุณอย่างไร อ่านเลย หลังม.ขอนแก่นร่วมมือกับมิส ลิลลี่คิดค้นช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์สำคัญในฟ้าทะลายโจร

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการร่วมกับ มิส ลิลลี่ (Miss Lily) คิดค้นเทคโนโลยีแอนโดรกราโฟไลด์ นาโน อิมัลชัน (Andrographolide Nano Emulsion) ได้เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์สำคัญในฟ้าทะลายโจร ใช้สำหรับต้านไวรัสโควิด-19 (Covid-19)

 

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของโรคโควิด ทำให้ชื่อของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกลายเป็นความหวังในการบรรเทาอาการของผู้ป่วย เพราะมีสรรพคุณที่ป้องกัน รักษาอาการหวัด และยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส โดยสารสำคัญในฟ้าทะลายโจรที่ให้ฤทธิ์ทางยาเช่นนี้

 

และได้รับการรับรองอย่างแพร่หลายทั่วโลกในแง่ของการป้องกันและยับยั้งเชื้อโควิดได้ก็คือ แอนโดรกราโฟไลด์  ซึ่งปัจจุบันสารดังกล่าวได้รับความสนใจในระดับสากล มีการนำมาพัฒนามากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ 

และมีงานวิจัยข้อมูลทางการแพทย์มากมายในต่างประเทศ มหาวิทยาลัยขอนแก่นเอง โดยฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษาก็ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสารดังกล่าวมาโดยตลอด

 

จนล่าสุดประสบความสำเร็จในการคิดค้นแนวทางการนำสารแอนโดรกราโฟไลด์มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอยู่ในรูปแบบนาโนอิมัลชันได้เป็นครั้งแรกของโลกดังกล่าว 

 

แอนโดรกราโฟไลด์ นาโน อิมัลชันต้านโควิดตัวแรกของโลก

 

ศ.ดร.มนต์ชัย ดวงจินดา รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า แอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นสารในกลุ่มไดเทอร์ปีนแลคโตน (Diterpene Lactone) เป็นสารออกฤทธิ์สำคัญที่พบในสมุนไพรฟ้าทะลายโจร (Andrographis paniculate) ที่มีรายงานทางวิชาการทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศว่า มีฤทธิ์ลดไข้ ต้านการอักเสบ และต้านเชื้อไวรัส เป็นสารที่ให้รสขม 
 

ปัจจุบันมีการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรจากใบ หรือส่วนอื่นๆ หรือสารสกัดหยาบในรูปยาผงแบบอัดเม็ดและแคปซูลอย่างแพร่หลายในประเทศไทย อย่างไรก็ตามการใช้ในรูปแคปซูลดังกล่าว จะมีแอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นสารสำคัญอยู่ประมาณ 1.38-3.21% ขึ้นกับสถานที่ปลูก และเนื่องด้วยเป็นสารที่ไม่ละลายในน้ำ 

 

จึงทำให้สารแอนโดรกราโฟไลด์ถูกดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายได้เพียง 2.67% จึงทำให้ต้องรับประทานครั้งละ 4 แคปซูล และต่อเนื่องวันละ 4 ครั้ง รวม 12 แคปซูล/วัน หรือให้ได้ปริมาณผงยา 6,000 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งเทียบเท่ากับสารแอนโดรกราโฟไลด์ 60 มิลลิกรัม/วัน

 

“ทีมงานได้ทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แอนโดรกราโฟไลด์บริสุทธ์ (>98%) ด้วยเทคโนโลยีนาโนอิมัลชัน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมขึ้นอีกหลายเท่า ทำให้ใช้ปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่มีประสิทธิภาพในการทำงานในระดับสูง ลดความเสี่ยงของการรับประทานสมุนไพรในรูปปกติในปริมาณมากเกินขนาด (over dose) เป็นการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากงานวิจัยมาใช้ประโยชน์และต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ในการดูแลสุขภาพของคนไทยในสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างแท้จริง”

 

ดร.นพรัตน์ อินทร์วิเศษ หัวหน้าทีมวิจัย บริษัท มิส ลิลลี่ จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีนาโนอิมัลชันถูกใช้ในหลายผลิตภัณฑ์มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอางและยารักษาโรค แต่ยังไม่มีการนำสารแอนโดรกราโฟไลด์มาพัฒนาในรูปแบบนี้ ซึ่งงานวิจัยเกือบทั้งหมดเป็นการศึกษาประโยชน์ทางยาของสารแอนโดรกราโฟไลด์ในรูปแบบผง 

 

แม้การทำนาโนอิมัลชันในห้องปฏิบัติการเองก็ยังประสบกับปัญหาหลายอย่าง เช่น การทำให้อนุภาคมีขนาดเล็กกว่า 100 นาโนเมตรมีความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ความคงตัว (stability) ของสารละลายก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยากเช่นกัน ในการทดลองต้องหาชนิดสารและปริมาณที่เหมาะสม

 

และต้องปรับความเป็นกรดด่างเพื่อให้สารไม่เกิดการออกซิเดชัน และไม่เป็นกรดมากจนเป็นอันตราย รวมถึงต้องปรุงแต่งรสชาติเพื่อลดความขมของสารแอนโดรกราโฟไลด์ และมีรสชาติที่ใช้ได้กับทุกวัย

 

อย่างไรก็ดี ที่ยากยิ่งกว่านี้คือการแปลงกระบวนการผลิตในห้องปฏิบัติการไปสู่โรงงานผลิต ซึ่งพบอุปสรรคหลายอย่างเนื่องจากเครื่องมือในห้องปฏิบัติการมีความทันสมัย และมีความคล่องตัวในการทำงานสูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง high speed homogenizer หรือเครื่อง ultrasonic ที่สามารถปรับความเร็วรอบที่สูงถึง 10,000 รอบ/นาที ซึ่งทำให้การผลิตในห้องปฏิบัติการมีคุณภาพที่ดีและสม่ำเสมอ 

 

ในขณะที่เครื่องจักรในโรงงานผลิตส่วนใหญ่ในประเทศไทย ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ ทางมิส ลิลลี่จึงจำเป็นต้องส่งทีมวิศวกร เข้ามารับการถ่ายทอดกระบวนการผลิตจากห้องปฏิบัติการไปสู่โรงงานผลิต

 

โดยเข้าไปให้โรงงานดัดแปลงเครื่องจักรให้สามารถผลิตสินค้าออกมาได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ นี่คือสิ่งที่ยากส่วนหนึ่งของการทำงานวิจัยออกไปสู่ตลาด เพราะขาดความเชื่อมโยงงานวิจัยจากห้องปฏิบัติการไปสู่กระบวนการผลิตในโรงงาน

 

หลังจากนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่นจะเดินหน้าความร่วมมือกับบริษัท มิส ลิลลี่ จำกัด บริษัทอีคอมเมิร์ซด้านดอกไม้แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพออกสู่ตลาด โดยมุ่งเน้นในการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ด้านสุขภาพให้กับผู้บริโภค ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่จะพัฒนาขึ้นมานั้นจะสอดคล้องกับทิศทางความต้องการของการอุปโภคบริโภคในปัจจุบัน ซึ่งมหาวิทยาลัยฯ จะมีการแถลงข่าวในโอกาสต่อไป