29 มีนาคม 2565 นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงแนวทางการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิดว่า กรมการแพทย์ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งสมาคม ราชวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง กรมวิชาการในกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อาจารย์แพทย์และผู้ทรงคุณวุฒิ จัดทำแนวทางเวชปฏิบัติการรักษาโรคโควิด 19 ซึ่งมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานกาณ์และหลักฐานเชิงประจักษ์
ล่าสุด คือ ครั้งที่ 21 ออกมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมาซึ่งสถานการณ์ขณะนี้พบว่า เชื้อโอมิครอนสามารถติดเชื้อได้ง่าย แต่อาการไม่รุนแรงจึงต้องปรับแนวทางการรักษาให้สอดคล้องกับตัวเชื้อและโรคที่ดำเนินไป โดยการปรับครั้งล่าสุดนั้นมีประเด็นสำคัญในกลุ่มที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย และข้อบ่งชี้การใช้ยาต้านไวรัสที่มีการพัฒนา คือ
1.กลุ่มที่ไม่มีอาการหรือสบายดี จะรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักที่บ้าน (OPSI) ไม่จำเป็นต้องรับยาต้านไวรัส เนื่องจากสามารถหายได้เองแต่อาจพิจารณาให้รับประทาน ยาฟ้าทะลายโจร ตามดุลยพินิจของแพทย์ แต่ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรร่วมกับยาต้านไวรัสพร้อมกัน เพราะมีผลต่อตับอาจทำให้ตับทำงานมากขึ้น
2.กลุ่มที่มีอาการไม่มากหรือเล็กน้อย ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง ยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องรับยาทุกรายเพราะสามารถหายเองได้ ทั้งนี้ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยง ซึ่งยาจะมีประสิทธิภาพประสิทธิผลเต็มที่ คือ การให้ภายใน 5 วัน ถ้าเลยเวลาที่กำหนดพบว่าไม่ได้ประโยชน์
ข้อควรระวังในหญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรกที่กระทบพัฒนาการของเด็กทารกในครรภ์ได้ กลุ่มที่มีปัญหาตับ ยาฟาวิพิราเวียร์มีผลข้างเคียงได้ และยังมีผลต่อการระคายเคืองทางเดินอาหาร รวมถึงทำให้กรดยูริกสูงขึ้น ทำให้คนที่มีปัญหากรดยูริกทำให้ตับและไตมีผลและตัวยูริกในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ จึงต้องพิจารณาข้อดีข้อเสียก่อนรับประทานยา และผลข้างเคียงด้วย
นายแพทย์มานัส กล่าวด้วยว่า เชื้อโควิดเป็นไวรัส ถ้าเราฉีดวัคซีนครบก็มีภูมิ ยิ่งดูแลสุขภาพพักผ่อนเพียงพอ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงมีภูมิมากขึ้น
ส่วนกลุ่มที่เสี่ยงไวรัสลงปอด เกิดปอดอักเสบ และเสียชีวิตได้ คือ กลุ่ม 608 ได้แก่ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์ แพทย์ก็จะพิจารณาให้ยา โดยเฉพาะถ้ารับวัคซีนไม่ครบ แต่ต้องพิจารณาเรื่องผลข้างเคียงของตับ
ยิ่งหากมีการรับประทานยาประจำอยู่ ต้องปรึกษาแพทย์ เพราะยาอาจเสริมกันทำให้ตับทำงานมากขึ้น หรือหญิงตั้งครรภ์ต้องให้ข้อมูลแพทย์ เพราะจะไม่ให้ยาในไตรามาสแรกของการตั้งครรภ์
ที่สำคัญ คือ เราต้องใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลเพื่อลดความเสี่ยงเชื้อดื้อยา ซึ่งหากดื้อยาก็ต้องไปใช้ยาที่แรงขึ้นเรื่อยๆ