จากการเสวนาวิชาการ นโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กปฐมวัยด้วยวัฒนธรรมการอ่าน เพื่อสร้างพลังสังคมแห่งอนาคต ภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 50 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 20
นางจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ นักวิจัยอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา กรมอนามัย ได้มีการทดสอบพัฒนาการเด็กเป็นระยะ ๆ ในแต่ละช่วงวัย พบว่า เด็กไทยมีพัฒนาการล่าช้าค่อนข้างสูง อยู่ที่ 30% โดยเป็นพัฒนาการล่าช้าทางด้านภาษา พูดคำศัพท์น้อย พูดไม่ค่อยได้
ถือเป็นพัฒนาการที่สำคัญมากกว่าด้านอื่น ๆ เพราะพัฒนาการทางด้านภาษาจะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสามารถของเด็กเมื่อเข้าสู่ระดับการเรียนในชั้นที่สูงขึ้น
ที่ผ่านมามีงานวิจัยจากการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 4 ปี ในกลุ่มพึ่งพิง ฐานะยากจน พบว่าการเลี้ยงลูกอย่างเต็มความสามารถ แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ การอ่านของเด็ก และ การรู้จักคำศัพท์ ของเด็กพบว่า เด็กที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟัง จะได้คะแนน 2 ส่วนนี้ ดีกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้อ่านหนังสือให้ฟัง
อีกทั้งจากการศึกษาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2557 ในโครงการ หนังสือเล่มแรก พบว่า การที่ผู้ปกครองอ่านหนังสือให้เด็กฟังจะมีผลต่อพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นงานศึกษาจากต่างประเทศหรือการศึกษาในประเทศไทย มีความสอดคล้องกันคือ การอ่านหนังสือให้เด็กฟังมีความสำคัญมาก ๆ
ขณะเดียวกันจากการสำรวจเมื่อปี 2562 ของงานสถิติแห่งชาติ โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟ พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ค่อนข้างมีความหลากหลายทั้งทางด้านโภชนาการ ด้านการได้รับวัคซีน และด้านพัฒนาการเด็ก
โดยในส่วนของพัฒนาการเด็กนั้น มีการสอบถามว่า ในบ้านมีหนังสือสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เล่มหรือไม่ ซึ่งผลสำรวจพบว่า มีครอบครัวเพียง 34%เท่านั้นที่มีหนังสือสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เล่ม หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ที่มีหนังสือในบ้าน ถือว่าน้อยมาก
ทั้งนี้เมื่อเทียบระหว่างคนที่มีฐานะดีและคนที่ฐานะยากจนที่สุด พบว่า ครัวเรือนที่ฐานะยากจนมีหนังสือสำหรับเด็กเพียง 14 %เท่านั้น เรียกว่าอยู่ในขั้นขาดแคลน
เมื่อถามต่อว่า เด็กในบ้านมีการเล่นหรือใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน กลับพบว่าเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ มีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์สูงถึง 53% ซึ่งการที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์มาก ๆ จะมีผลเสียตามมา คือ เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อ ซน ไม่เชื่อฟัง และมีผลทางด้านภาษา การเข้ากับคนอื่น และมีผลต่อสติปัญญาในอนาคตด้วย
ทั้งนี้ได้นำเสนอข้อมูลสำคัญว่า การอ่านหนังสือมีข้อดีอยู่ 7 ด้าน ประกอบด้วย
นางเฉลิมศรี ระดากูล รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน) หรือ พอช. กล่าวว่า ขณะนี้มีโครงการส่งเสริมการอ่านในชุมชน ซึ่งไม่ใช่แค่การทำให้ท้องอิ่มอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการเสริมสร้างการเรียนรู้ที่สำคัญของเด็ก และคนในชุมชน แต่ก็ต้องมีการพัฒนาหรือขยายโครงการเพิ่มเติม
น.ส.ทิพย์สุดา ชวาลวัฒน์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) กล่าวว่า นอกจากการให้เวลาในการอ่านหนังสือให้เด็กฟังแล้ว “หนังสือที่น่าสนใจสำหรับเด็ก” ก็เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น สมาคมผู้จัดพิมพ์มีโครงการ “1 อ่านล้านตื่น” ที่มี สสส. ร่วมสนับสนุน
น.ส.ทิพย์สุดา กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่เกิดการจากมองเห็นปัญหาการบริจาคหนังสือที่ไม่ได้ตรงกับความสนใจของเด็ก จึงมีแนวคิดในการบริจาคเป็นเงินสำหรับซื้อหนังสือที่เด็กสนใจอยากจะอ่านจริง ๆ แม้ว่าตอนแรกถูกโจมตีว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นโครงการหวังผลในการเพิ่มยอดขายหนังสือ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ วันที่มีเด็กกำเงินบริจาคมาหาเราเพื่อขอซื้อหนังสือภายในงาน เขาร้องไห้พร้อมกับบอกว่า ที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้เลือกซื้อหนังสือที่อยากอ่านเองเลย เพราะไม่มีเงินซื้อหนังสือที่ถูกมองเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย
“เรารู้สึกว่าเรามาถูกทางแล้ว เด็กเขาก็มีเรื่องที่เขาอยากอ่าน วรรณกรรมที่เขาอยากอ่าน เพียงแค่เรามีโอกาสรับบริจาค จึงรู้สึกว่าโครงการนี้จะช่วยสานฝันให้เด็กรักการอ่าน ได้อ่านในสิ่งที่เขาต้องการอ่าน ขณะนี้ก็มีการรับบริจาคอยู่ที่ เทใจดอทคอมและภายในงานสัปดาห์หนังสือฯ ด้วย”
ทั้งนี้ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.happyreading.in.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่เพจ อ่านยกกำลังสุข