โควิดวันนี้เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (Covid-19) สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) ยังอยู่ในระดับสูง
น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยมีข้อความว่า
4 เดือนเต็มของไวรัส Omicron ติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าไวรัส Delta (เดลตา) ที่ 4 เดือนเท่ากัน และการเป็นโรคติดต่อทั่วไปยังห่างไกล
วันนี้ 30 เมษายน 2565 ครบ 4 เดือนเต็มแล้ว สำหรับการระบาดระลอกที่สี่จากไวรัส Omicron
ข้อมูลต่างๆสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันว่า เราได้ผ่านจุดสูงสุดหรือพีคของระลอกนี้แล้ว ในช่วงปลายมีนาคมต่อต้นเมษายน 2565 และกำลังอยู่ในช่วงขาลง
ประเด็นที่คนทั่วไปอยากทราบก็คือในระลอกที่ 4 หรือ Omicron นี้ เมื่อเปรียบเทียบกับระลอกที่ 3 หรือ Delta ในช่วงระบาด 4 เดือนเท่ากัน มีความแตกต่างกันอย่างไร และจะจบลงอย่างไร เมื่อใด
มิติหนึ่งที่มีการพูดถึงกันคือ เรื่องโรคติดต่อทั่วไปหรือคำเดิมที่ใช้คือโรคประจำถิ่น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เคยส่งสัญญาณต่อสาธารณะว่า มีเป้าหมายที่จะพยายามทำให้ได้ใน 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นไปนั้น
วันนี้เราจะลองมาวิเคราะห์กันโดยละเอียด ถึงสถานการณ์ของโควิดจากไวรัส Omicron ว่าเมื่อครบ 4 เดือนแล้วเป็นอย่างไร และเมื่อเปรียบเทียบกับระลอกที่ 3 จากไวรัสเดลต้าในช่วง 4 เดือนเท่ากัน มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
และประการสุดท้าย จะมาวิเคราะห์เรื่องความเป็นไปได้ ที่โควิดจะเป็นโรคติดต่อทั่วไปหรือโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงใด
1.เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ของโควิดจากไวรัส Omicron กับ Delta ในช่วง 4 เดือนเท่ากัน คือ
ไวรัส Omicron
ในช่วง 1 มค-30 เมย 2565
ส่วนไวรัส Delta
ใช้ข้อมูล 1 เมย-31 กค 2564
พบข้อมูลสำคัญดังนี้
1.1 จำนวนผู้ติดเชื้อ
แต่เนื่องจากไวรัส Omicron ติดเชื้อแล้วไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก จึงทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อจาก PCR ไม่สะท้อนความเป็นจริง จึงต้องรวมตัวเลขจากผู้ติดเชื้อจาก ATK เข้ามาด้วย
ผู้ติดเชื้อแบบ PCR+ATK
เมื่อดูผู้ติดเชื้อรวมจาก PCR และ ATK พบว่าผู้ติดเชื้อจากไวรัส Omicron จะมากกว่าไวรัส Delta 6.3 เท่าคือ
2. จำนวนผู้เสียชีวิต
พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัส Omicron มากกว่าไวรัส Delta 1.4 เท่า โดยเสียชีวิตจาก
3. อัตราผู้เสียชีวิตต่อจำนวนผู้ติดเชื้อ
อัตราผู้เสียชีวิตจากไวรัส Omicron น้อยกว่าไวรัส Delta 2.5-4.4 เท่า
โดยผู้เสียชีวิตจากไวรัส Omicron เมื่อคิดเป็นอัตราผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อแบบ PCR จะเท่ากับ 0.33%
แต่ถ้ารวมผู้ติดเชื้อ ATK ด้วย อัตราการเสียชีวิตลดลงมาเป็น 0.19%
ส่วนผู้อัตราผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อจากไวรัส Delta เท่ากับ 0.84%
4. มิติเรื่องในอนาคต โควิดจากไวรัส Omicron จะกลายเป็นโรคติดต่อทั่วไปได้นั้น จะต้องใช้เกณฑ์ทางวิชาการหลายตัวด้วยกัน
หนึ่งในนั้นที่สำคัญมาก และเราจะวิเคราะห์กันในวันนี้ก็คือ อัตราผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อ โดยใช้ค่าเฉลี่ย 7 วัน โดยจะถือว่าเป็นโรคติดต่อทั่วไปได้ ต่อเมื่อประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตดังกล่าวน้อยกว่า 0.1% เป็นเวลาสองสัปดาห์ต่อเนื่องกัน
ในขณะนี้พบว่า อัตราผู้เสียชีวิตของไทย เฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง ในช่วงวันที่ 24-30 เมษายน 2565 อยู่ที่ 0.48% หรือสูงกว่าเกณฑ์เกือบ 5 เท่าตัวคือมีผู้ติดเชื้อรวม 180,342 ราย
การจะเป็นโรคติดต่อทั่วไปได้นั้น จะต้องมีอัตราผู้เสียชีวิตเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วันดังกล่าวน้อยกว่า 0.1% คือจะต้องลดลงกว่านี้อีก 5 เท่าตัว
หมายความว่า ถ้าจำนวนผู้ติดเชื้อที่รายงานยังอยู่ที่ระดับวันละ 25,000 ราย จะต้องมีผู้เสียชีวิตไม่เกินวันละ 25 ราย
โดยถ้าผู้ติดเชื้อยังคงเสียชีวิตในระดับวันละ 125 ราย การที่จะอยู่ในเกณฑ์น้อยกว่า 0.1% จะต้องมีผู้ติดเชื้อรวม 125,000 รายต่อวัน
ซึ่งคาดการณ์กันว่า ในปัจจุบันก็มีผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับวันละมากกว่า 100,000 รายอยู่แล้ว เพียงแต่สามารถตรวจพบด้วย PCR และมีการรายงานหลังจากตรวจ ATK เข้ามาเพียงวันละ 20,000 รายเศษ
การค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด จะยิ่งทำให้อัตราผู้เสียชีวิตเมื่อคิดเป็นร้อยละแล้ว จะลงมาใกล้เคียงกับ 0.1% ได้
มาตรการทางด้านการตรวจ PCR ให้มากขึ้นนั้น มีข้อจำกัดหลายประการซึ่งเหมือนกันทั่วโลก ไทยสามารถตรวจได้ไม่เกินวันละ 100,000 ตัวอย่าง
แต่มาตรการการตรวจหาผู้ติดเชื้อเข้าข่าย หรือการตรวจด้วย ATK จะเป็นวิธีการที่สามารถทำการตรวจได้ครอบคลุมกว้างขวางใกล้เคียงความจริงได้มากกว่า
โดยภาครัฐสามารถขยายบริการที่ดำเนินการดีอยู่แล้วคือ การให้งบประมาณสนับสนุนผ่าน สปสช.ให้ภาครัฐและเอกชนออกตรวจ ATK เชิงรุกโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ให้กับสถานบริการ หน่วยงาน และประชาชนทั่วไป
ซึ่งวิธีดังกล่าว จะทำให้มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อจริงกลับเข้ามาใกล้เคียงความจริงมากขึ้น
และมีโอกาสทำให้อัตราผู้เสียชีวิตต่อผู้ติดเชื้อลงมาใกล้เคียง 0.1% ซึ่งจะเข้าเกณฑ์โรคติดต่อทั่วไปต่อไป
มิเช่นนั้นแล้ว การที่โควิดจะกลายเป็นโรคติดต่อทั่วไป ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ก็คงจะเป็นไปได้น้อย
สรุป