"คาร์ซีท"กับ 6 ข้อต้องรู้ก่อนซื้อ หลัง กม.บังคับให้เด็กไม่เกิน 6 ปี ต้องนั่ง

09 พ.ค. 2565 | 03:54 น.
อัปเดตล่าสุด :09 พ.ค. 2565 | 11:24 น.

"คาร์ซีท"กับ 6 ข้อต้องรู้ก่อนซื้อ พร้อมข้อควรสังเกตก่อนซื้อ เพื่อความคุ้มค่า ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยของเด็กๆ

หลังกฏหมายบังคับใช้ "คาร์ซีท" ให้เด็กอายุไม่เกิน 6 ปีต้องนั่ง โดยพรบ.จราจรทางบก พ.ศ.2565 สาระสำคัญคือ เกี่ยวกับความปลอดภัยของเด็กในมาตรา 123 คือ เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี หรือผู้โดยสารที่สูงไม่เกิน 135 ซม.ต้องนั่งคาร์ซีท บูสเตอร์ซีท หรือคาดเข็มขัดนิรภัย

หากไม่ปฏิบัติ มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และมีผลในอีก 120 วันข้างหน้า หรือวันที่ 5 กันยายน 2565

มีชาวเน็ตคอมเมนต์ ดราม่าจำนวนมาเกี่ยวกับ กม.บังคับใช้ "คาร์ซีท" หลากหลายมุม ไม่ว่าจะเป็น กฎหมายผิด  ผิดที่คนด่า หรือ บังคับใช้ผิดเวลาเพราะมาในช่วงที่เศรษฐกิจย้ำแย่

1.ติดตั้ง คาร์ซีท ที่เบาะผู้โดยสารตอนหลังเท่านั้น

  • Airbag คู่หน้าเป็นมาตรฐานความปลอดภัยของผู้โดยสาร เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ถูกออกแบบมาให้ใช้ปกป้องผู้ใหญ่ ที่มีพัฒนาการกระดูกสันหลัง คอ และศีรษะที่เต็มวัยแล้ว การให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี นั่งในตำแหน่งดังกล่าว อาจะเกิดการกระแทกอย่างรุนแรงโดยตรงต่อตัวเด็ก หรือต่อ คาร์ซีท

 

  • สถาบัน NHTSA (Nation Highway Traffic Safety Administration) บอกว่าเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ควรนั่งเบาะด้านหลังรถ ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต ได้ 27 %

 

2.ตรวจสอบภายในรถยนต์และสเปคของ คาร์ซีท ให้เรียบร้อยก่อนซื้อ

  • ตรวจสอบขนาดของคาร์ซีทและพื้นที่โดยสารภายในรถยนต์ว่ามีพื้นที่รองรับคาร์ซีทรุ่นที่ตั้งใจจะซื้ออยู่หรือไม่ เช่นเบาะ Captain seat ในรถตู้ไม่รองรับ คาร์ซีทที่มีขนาดใหญ่ หรือ คาร์ซีท ชนิดที่หมุนปรับตำแหน่งระหว่าง Forward facing, Rear facing ได้

 

3.เลือก คาร์ซีท ให้เหมาะกับสรีระและช่วงวัย

 

คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด

  • ออกแบบมาให้สามารถยกออกจากฐานที่ติดตั้งบนเบาะโดยสารรถยนต์ มาเป็นตะกร้าหิ้ว สำหรับพาลูกเข้าบ้าน หรือติดตั้งบนรถเข็นที่รองรับ ได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับเด็กน้ำหนักตั้งแต่ 1.8 กิโลกรัม – 18 กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับสเปคของแต่ละรุ่น

 

Convertible car seat

  • คาร์ซีทที่ออกแบบสำหรับเด็กที่มีอายุ 6 เดือนจนถึง 1 ปี เบาะแบบนี้ยังต้องติดตั้งในลักษณะ Rear Facing หรือหันหัวเด็กไปทางด้านหน้าของรถเหมือนกับ Infant car seat ซึ่งจะรองรับการติดตั้งแบบหันหลังไปข้างหน้า (Rear-facing) ในเด็กที่มีน้ำหนัก 8 กิโลกรัม ลงมา และในบางรุ่นจะสามารถรองรับการนั่งแบบ rear facing สำหรับเด็กน้ำหนักถึง 18-24 กิโลกรัม

 

Toddler booster

  • เหมาะสำหรับเด็กวัยหัดเดิน วัย 1-5 ปี ที่มีส่วนสูงและน้ำหนักที่เข้าเกณฑ์ข้อกำหนดสำหรับการนั่งแบบหันหน้าออกเท่านั้น (Forward facing) ซึ่ง Toddler booster จะมีสายรัดมาให้ใช้ในช่วงแรก และสามารถปรับให้เป็นเก้าอี้ได้โดยปรับที่นั่งตรง และดึงที่พักหัวขึ้นเพื่อปรับเป็นโหมด booster ค่ะ
  • เหมาะสำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 8-40 กิโลกรัม สำหรับท่านั่งแบบปรกติและใช้สายรัด และ 14 – 54 กิโลกรัม ในโหมด booster

 

Booster seat

  • มีทั้งรูปแบบที่เป็นเบาะทั้งอันมีทั้งที่รองและพนักพิงหลัง เป็นแค่เบาะรองนั่งอย่างเดียว จะใช้งานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดของเบาะหลัง ซึ่งเบาะประเภทนี้เป็นจุดสุดท้ายของเบาะนั่งนิรภัยก่อนที่ตัวเด็กจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การโตเต็มวัยสำหรับการใช้เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

 

All-in-One Car Seats

  • คาร์ซีทแบบที่รวมทุกประเภท ซึ่งมีข้อดีสามารถใช้ได้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 12 ปี บางรุ่นมีน้ำหนักถึง 12 กิโลกรัม คาร์ซีทประเภทนี้จึงเหมาะกับการที่ไม่ต้องการเปลี่ยนคาร์ซีทบ่อยๆ และไม่มีความจำเป็นต้องถอดย้ายคาร์ซีทจากรถบ่อยๆ

 

4.ไม่ควรซื้อคาร์ซีทที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไปนับจากวันที่ผลิต

  • ตรวจสอบวันเดือนปีที่ผลิตให้ละเอียด เพราะโดยปรกติแล้วคาร์ซีทจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 6 ปี นับจากวันที่ผลิตด้วยเหตุผล

 

5.เช็คมาตรฐานของคาร์ซีทให้ดีก่อนซื้อ

  • คาร์ซีทจะต้องมีป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 เป็น มาตรฐานความปลอดภัยคาร์ซีท เพื่อบ่งชี้ว่าเบาะตัวนั้นๆได้ผ่านตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย ป้ายรับรองมาตรฐาน ECE R44/04 จะเป็นป้ายสีส้ม

 

6.เลือกซื้อคาร์ซีทที่มีศูนย์บริการครอบคลุมพื้นที่

  • ตรวจสอบศูนย์บริการที่รับบริการส่งซอมบำรุงคาร์ซีทที่สนใจก่อนที่จะซื้อ แม้ว่าจะเป็นแบรนด์พรีเมียมคุณภาพดีจากต่างประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมีศูนย์บริการครอบคลุมในประเทศไทย ดังนั้นดูเรื่องระยะการรับประกัน และศูนย์บริการให้ดี

 

ที่มา : babygiftretail bestformommies