ศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล Siriraj Institute of Clinical Research เปิดเผยผลการศึกษาถึงการฉีดวัคซีนเข็ม 3 กระตุ้นภูมิคุ้มกันในผู้สูงอายุ ด้วยวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา ทั้งแบบฉีดเข้าชั้นผิวหนังและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยระบุว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อโรคโควิดรุนแรง
การฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 มีความจำเป็นอย่างมากเพื่อป้องกันไวรัสโอไมครอนที่ระบาดโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แต่ผู้สูงอายุอาจมีความกังวลต่ออาการข้างเคียงจากวัคซีน ส่งผลให้การยอมรับวัคซีนน้อยลง การฉีดวัคซีนเข้าในชั้นผิวหนัง ที่ใช้วัคซีนปริมาณน้อย เพียง 1 ใน 5 ของขนาดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ และลดการเกิดผลข้างเคียง อาจทำให้มีการยอมรับที่ดีขึ้น
การศึกษาแบบเปิดและมีการสุ่มผู้สูงอายุตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่เคยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าครบ 2 เข็ม จำนวน 210 คน พบว่าหลังจากที่ได้รับการฉีดกระตุ้น (เข็มที่ 3) มีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนได้เกือบทั้งหมด
การฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ภูมิคุ้มกันที่ต่ำกว่า แต่เกิดอาการข้างเคียงตามระบบน้อยกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ โดยวัคซีนโมเดอร์นาให้ระดับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่สูงกว่าวัคซีนไฟเซอร์ และมีภูมิคุ้มกันต่อโอไมครอนสูงกว่า
ข้อสรุปสำคัญ พบว่า จำเป็นต้องให้ผู้สูงอายุฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 จึงจะสามารถป้องกันโควิด-19 จากเชื้อโอมิครอนได้ การฉีดเข้าในชั้นผิวหนังให้ระดับภูมิคุ้มกันต่ำกว่าการฉีดเข้าในชั้นกล้ามเนื้อ
แต่ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้ยังค่อนข้างสูง โดยเฉพาะถ้าใช้วัคซีนโมเดอร์นา จึงอาจเป็นทางเลือกหากมีจำนวนของวัคซีนจำกัด และต้องการลดโอกาสเกิดอาการข้างเคียงตามระบบ