ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่โรงแรมบุรีศรีภู อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ โดยนายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดูแลภาคใต้ จัดประชุมสัมมนาประชาธิปัตย์ภาคใต้ ภายใต้หัวข้อ “อุดมการณ์ทันสมัย ทำได้ไว ทำได้จริง” ซึ่งมี ส.ส.ภาคใต้/ผู้ช่วยส.ส./หัวหน้าสาขา/ตัวแทนพรรคเข่าร่วมประชุมประมาณ 500 คน
โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิด พร้อมนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
การประชุมครั้งนี้มีหัวข้อสำคัญในการสัมมนาคือ "กลยุทธ์และเป้าหมายชัยชนะในการเลือกตั้ง” บรรยายโดยนายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดูแลภาคใต้ และหัวข้อ“ฟื้นใต้ ฟื้นประชาธิปัตย์”บรรยายโดยนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.จังหวัดตรัง และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางการทำงาน รวมถึงการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ทั้ง 9 เขต ของจังหวัดสงขลา ซึ่งขณะนี้ได้ทำการคัดเลือกตัวว่าที่ผู้สมัครได้ครบทุกเขตแล้ว จึงทำการเปิดตัวในวันนี้
นายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดูแลภาคใต้ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้น จากการวิเคราะห์โดยนักวิชาการ ร่วมกับทีมงานวิจัยออกมา พบว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องปรับปรุง 3 อย่าง คือ 1.ความเป็นหนึ่งเดียวของประชาธิปัตย์ในแต่ละจังหวัด เพราะเราต้องยอมรับว่าในอดีตประชาธิปัตย์ในแต่ละจังหวัดมีทีม A ทีม B บางจังหวัดมี ทีม C
“จังหวัดสงขลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่เคยเป็นทีมเดียวในความเป็นประชาธิปัตย์ มีอย่างน้อย ทีม A ทีม B และทั้งทีม A ทีม B เชียร์ให้อีกทีมแพ้ ทีม B เชียร์ให้ ทีมA ตก ทีมB ก็เชียร์ให้ทีม A ตก”
นายเดชอิศม์ชี้อีกว่า แต่วันนี้อยากจะบอกกับพี่น้องว่า จังหวัดสงขลาคือเมืองหลวงของภาคใต้ สงขลาคือเมืองหลวงของพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้เรารวมพลังเป็นหนึ่งเดียว ทั้ง 9 คน 9 เขต ทุกคนจะต้องหาเสียงทั้ง 9 เขต ทุกจังหวัดอยากให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งหมด
เรื่องที่ 2. ปรับบุคลิกของผู้สมัครส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ผ่านมาบางคนมีเสียงสะท้อนว่า ใจไม่ถึง พึ่งไม่ได้ ขี้เหนียว ห่างกับประชาชน เนื่องจากทุกคนมองว่าเมื่อก่อนกระแสพรรคประชาธิปัตย์ดี เราก็เลยละเลย ไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ค่อยติดพื้นที่ ซึ่งถ้าเราปรับข้อนี้ คำว่า ใจถึงพึ่งได้ ไม่เฉพาะเรื่องเงินอย่างเดียว แต่หมายถึงเรื่องใจที่จะเข้าไปหาพี่น้องประชาชน
ข้อที่ 3. คือเรื่องข้อมูล ผมเคยพูดกับพี่น้องชาวประชาธิปัตย์ที่เป็นส.ส.ในการประชุมประชาธิปัตย์ภาคใต้ประมาณ 3-4 ครั้งที่ผ่านมาว่า ข้อมูล เป็นเรื่องสำคัญมาก ทุกคนจะต้องทำข้อมูลให้ละเอียด เพราะการแพ้ชนะอยู่ที่ข้อมูลด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าพี่น้องชาวประชาธิปัตย์ทำ 3 ข้อนี้ คือ 1.ความเป็นหนึ่งเดียวกันในจังหวัด 2.ใจถึงพึ่งได้จริง ๆ อยู่กับประชาชน และ 3.ข้อมูลพร้อม
หลังจากนั้นก็จะเป็นหน้าที่ของพรรค คำว่าหน้าที่ของพรรค ประกอบด้วย 1.คือผมในฐานะรองหัวหน้าพรรคที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้ 2.หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ 3.ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค และ 4.ท่านนิพนธ์ บุญญมณี ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกคนในภาคใต้
"พวกเราทั้ง 4 คนและทีมกรรมการบริหารมีหน้าที่ไปเสริม 3 ข้อของท่าน แน่นอน 3+1 สามารถเพิ่มคะแนนให้ท่านแบบทวีคูณ ซึ่งถ้าท่านทำได้ ท่านชนะแน่นอน”
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.จังหวัดตรัง และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในความรู้สึกสงสัยลังเลต่อพรรคประชาธิปัตย์ของประชาชนดีขึ้นมาก เมื่อผลการเลือกตั้งซ่อม 2 เขตออกมา คือ การเลือกตั้งซ่อมเขต 6 จังหวัดสงขลา และการเลือกซ่อมเขต 1 จังหวัดชุมพร
ซึ่งนักวิชาการได้มีการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งหลังสุดที่ผ่านมา ว่าเขาวิเคราะห์ไว้อย่างไร และให้พวกเราจำการวิเคราะห์ไว้ เพราะจะเป็นทิศทางในการที่ประชาธิปัตย์จะต้องขับเคลื่อนในแนวทางนี้ในครั้งต่อไป สำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
นักวิชาการเขาวิเคราะห์ว่า ในการเลือกตั้งซ่อมที่จ.ชุมพรและจ.สงขลา เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรี แต่ผลการเลือกที่ออกมาเขาวิเคราะห์ปัจจัยไว้ 5 ข้อด้วยกัน ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ชนะ และทำให้คู่แข่งคือพรรคพลังประชารัฐแพ้
ข้อ 1.พรรคพลังประชารัฐพลาดเอง จากการปราศรัยของเลขาธิการพรรคในเวลานั้น ที่พูดว่าการจะเป็นส.ส.จะต้องมีชาติตระกูล ต้องมีเงิน คำพูดเสมือนกับการดูถูกศักดิ์ศรี เหยียบย่ำหัวใจของคนปักษ์ใต้ เพราะคนใต้ไม่ยอมคำพูดที่ดูถูก
และเหนือสิ่งอื่นใดที่เขาวิเคราะห์ในข้อนี้ว่า ผลของการพลาดเองของพลังประชารัฐนั้น พรรคประชาธิปัตย์ทำสิ่งหนึ่งก็คือ เป็นพรรคที่กัดไม่ปล่อย หมายถึงว่าแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นรองแค่ไหนก็ตาม เขาวิเคราะห์ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยังเดินเยี่ยม ยังจัดปราศรัย ยังจัดเวทีถี่หนาแน่น เอาจริงเอาจัง และหยิบคำพูดที่ผิดพลาดของคู่ต่อสู้มาขยายผลทุกเวที
“แปลว่าการปราศรัยได้ผลที่สุดในการเลือกตั้งซ่อมครั้งหลังสุด นี่เป็นข้อวิเคราะห์ที่สำคัญมาก”
ข้อ 2. ถัดมาข้อนี้ก็สำคัญ นักวิชาการเขาใช้คำว่าไม่ปฏิเสธเรื่องการใช้เงิน ซึ่งคำว่าใช้เงินต่างกับซื้อเสียง แต่ให้ความสำคัญกับการบริหารเงินในการเลือกตั้ง ที่ใครจะทำได้ดีกว่า ข้อนี้ต้องวิเคราะห์กันต่อ
ข้อ 3. เขาใช้ว่าเครือข่ายทางการเมือง ของพรรคประชาธิปัตย์ในระดับท้องถิ่นมีมากกว่าพลังประชารัฐ ซึ่งผมเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมเขต 1 จังหวัดชุมพร รู้ดีเลยว่าพื้นฐานเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเครือข่ายหนาแน่น ครบถ้วนทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายท้องถิ่น ครบถ้วน สาย อสม. สายแม่บ้าน และผนวกด้วยผู้สมัครเป็นคนรุ่นใหม่
“เราเคยได้มา 50 จาก 53 ที่นั่ง แปลว่าทุกจังหวัดจะต้องเครือข่ายระดับท้องถิ่นที่มากกว่าพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคใหม่ ซึ่งจุดแข็งตรงนี้อย่าสงสัย นักวิชาการฟันธงว่าประชาธิปัตย์ได้เปรียบ"
นายสาทิตย์ ชี้ต่อว่า ข้อที่ 4. เขาวิเคราะห์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ลงพื้นที่แบบกัดไม่ปล่อย เขาบอกกัดไม่ปล่อย ผลที่เกิดขึ้นทำให้คนจากโพลอีก 30 เปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใคร เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทิ้งพื้นที่
ในการหาเสียง เรายังให้ความสำคัญ และขยันในการรณรงค์จัดการหาเสียง ทั้งเดินเคาะประตูบ้าน ทั้งออกรถยนต์แห่ และทั้งจัดการปราศรัย ฉะนั้นแนวทางนี้จะต้องยึดให้มั่น เพราะในการเลือกตั้งครั้งหน้ามันจะท้าทาย เรื่องกัดไม่ปล่อยของประชาธิปัตย์จะเป็นปัจจัยสำคัญ
และข้อสุดท้าย เขาวิเคราะห์ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวประชาธิปัตย์ชุ่มชื่นใจขึ้นมาก เขาวิเคราะห์ว่า “ความผูกพันฟื้นคืน” ผลการเลือกตั้งเขต 6 จังหวัดสงขลา กับผลการเลือกตั้งเขต 1 จังหวัดชุมพร ชี้ให้เห็นว่า ความผูกพันของคนใต้กับพรรคประชาธิปัตย์ฟื้นคืนแล้ว