ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ทำการสมาคมผู้สื่อข่าวภูเก็ต (ศาลากลางจังหวัดภูเก็ตหลังเก่า) นายวรวิทย์ เจนเจริญวงศ์ ชาวบ้านที่ครอบครองที่ดินจำนวน 31 ไร่ หมู่ 2 ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต ใกล้กับทางขึ้นผาหินดำ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.ภูเก็ต ก่อนที่จะมีการประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ ส.ป.ก.พร้อมด้วยทนายความ ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางจังหวัดภูเก็ต และ ส.ป.ก.ภูเก็ต ดำเนินการต่อผู้ที่บุกรุกและปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ส.ป.ก.
นายวรวิทย์ ร้องเรียนว่า เมื่อปี 2523 ตนได้ซื้อที่ดิน ภ.บ.ท.6 จากชาวบ้านรายหนึ่ง เนื้อที่ประมาณ 31 ไร่ หมู่ที่ 2 ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังจากซื้อได้เข้าไปทำประโยชน์และเสียภาษีหน้าดินประจำทุกปี ต่อมาในปี 2540 ทาง อบจ.ได้ขอตัดถนนผ่านในที่ดินที่ตนทำประโยชน์อยู่ ซึ่งตนลงนามยินยอมให้มีการตัดถนน โดยเสียเนื้อที่ดินไปประมาณ 8 ไร่ ปัจจุบันเป็นถนนสาธารณะกว้าง 13 เมตร ไปยังผาหินดำ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของภูเก็ต
กระทั่งปี 2542 สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดภูเก็ต (ส.ป.ก.)ขณะนั้น ได้ทำหนังสือแจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปรังวัดแนวที่ดินตามเอกสาร เพื่อเข้าสู่สารบบของการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องเพื่อขอรับเอกสารสิทธิ ส.ป.ก .ด้วย โดยมีชื่ออยู่ในระบบของส.ป.ก. และอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ ยังไม่ได้รับหลักฐานครอบครองที่ ส.ป.ก.
ระหว่างที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติ ปรากฏว่าได้มีผู้มาอ้างสิทธิการครอบครอง พร้อมเข้าปลูกสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ มีการปักล้อมรั้วเพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าเป็นที่ดินของเขา ตลอดจนขัดขวางไม่ให้ตนเข้าไปในที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นการบุกรุกที่ดิน มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ
นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า จึงได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรกะรน อ.เมืองภูเก็ต แต่พนักงานสอบสวนไม่รับแจ้งความ ทำได้เพียงลงบันทึกประจำวันไว้ เพื่อปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนเอง โดยกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการอ้างว่ามีคนมีสีอยู่เบื้องหลังและเคยมีการขู่ฆ่าตนด้วย
นอกจากนี้ ยังยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อฟ้องขับไล่ชายคนดังกล่าวให้ออกจากที่ดิน แต่เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดิน ส.ป.ก. และในส่วนของตนซึ่งได้ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินปฏิรูปเพื่อเกษตรกรรม แต่ปัจจุบันยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ อยู่ระหว่างตรวจสอบคุณสมบัติ จึงทำให้ที่ดินยังคงเป็นของ ส.ป.ก. และในส่วนของบุคคลดังกล่าวก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทดังกล่าวเช่นกัน ดังนั้น เมื่อเป็นที่ดินของรัฐจึงไม่ควรมีผู้ใดเข้าไปครอบครอง
นายวรวิทย์ กล่าวด้วยว่า หลังจากมีคำพิพากษาของศาล ทาง ส.ป.ก.ภูเก็ต ได้มีการไปปิดป้ายประกาศให้ผู้ที่เข้าไปบุกรุกครอบครอง ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ และให้ออกจากที่ดินแปลงดังกล่าวภายใน 3 เดือน โดยมีการปิดประกาศให้มีการรื้อถอนตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันครบกำหนด 3 เดือนมานานแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ และยังมีการก่อสร้างใหม่เพิ่มเติม โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย
เพื่อความเป็นธรรมจึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ เร่งดำเนินการกับบุคคลดังกล่าว เพราะตนซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิการครอบครองมาก่อนที่จะมีการประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน ทั้ง ๆ ที่มีการปลูกผลอาสินจากภาษีที่ดินมาโดยตลอด ยังไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใด ๆ ได้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลดังกล่าวด้วย
ในส่วนของของตนหลังจากนี้คงไม่ดำเนินการใด ๆ อีก เพียงแต่เมื่อที่ดินเป็นของรัฐ ก็อยากให้กลับเป็นของรัฐอย่างแท้จริง แม้ว่าตนจะถือครองมาก่อนด้วยการซื้อมาจากชาวบ้าน แต่เมื่อประกาศว่าเป็นเขตของ ส.ป.ก. ก็ยินดีที่จะคืนที่ดินดังกล่าวกลับไปเป็นของรัฐ เพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
และะที่ผ่านมาเคยร้องเรียนและขอความเป็นธรรมไปยังผู้ว่าฯ ภูเก็ต ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงาน ส.ป.ก.ภูเก็ต ตรวจสอบข้อเท็จจริง และแจ้งว่า เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของการยื่นอุทธรณ์ ทำให้ปัญหาข้อพิพาทยังไม่สิ้นสุด ซึ่งทาง ส.ป.ก.จะได้ดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าวต่อไป