รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล (หมอนิธิพัฒน์) หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความระบุว่า
สถิติโควิดวันนี้ยังไม่น่าสบายใจ เหมือนท่าทางการถอยฉากเข้ามุมของผู้แทนกระทรวงหมอเมื่อวาน
ที่เลี่ยงคำโรคประจำถิ่นไปเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ซึ่งดูไม่ค่อยเข้าตากรรมการคนกลางอย่างผมซักเท่าไร ด้วยเหตุผลสามสี่ประการ
เริ่มจากอ้างว่าอัตราครองเตียงผู้ป่วยหนักยังไม่ล้นเกินศักยภาพ แต่ถ้าไปดูหน้างานจริง ที่ไม่ล้นคงเป็นโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงหมอ ที่หน่วยเหนือสั่งให้เพิ่มได้ไม่จำกัด
แต่หน่วยใต้ (บังคับบัญชา) ที่อยู่หน้างานหลังแอ่นเพราะงานอื่นนอกเหนือจากโควิดก็ท่วมท้น
ที่ว่าการเข้าถึงยาต้านไวรัสยามเจ็บป่วยของประชาชนมีความสะดวกแล้ว ขอให้เป็นจริงเถิด ทั้งในแง่ความถูกต้องเชิงวิชาการ ด้วยการทำความเข้าใจกับประชาชนว่าใครควรได้รับยา
ไม่ใช่สร้างอุปสงค์เทียมแบบประชานิยมเช่นที่ผ่านมา และต้องเป็นจริงในแง่ระบบการจัดเตรียมสำรองยาที่จำเป็นและระบบส่งยาให้ถึงมือประชาชนโดยง่าย ไม่ให้เกิดการร้องเรียนผ่านสื่อที่เห็นบาดตาบาดใจกันอยู่บ่อยๆ
ส่วนที่ว่ามีการสื่อสารกับสังคมให้เข้าใจดีแล้ว ทั้งเรื่องประโยชน์ของวัคซีน การปฏิบัติตัวเมื่อติดเชื้อหรือเป็นกลุ่มเสี่ยง และกระบวนการดูแลรักษาตามระบบสุขภาพปกติ
แต่ที่ควรเน้นกว่านั้นคือ ต้องเตือนประชาชนว่ายังมีผู้ติดเชื้อรายวันมากกว่าสามหมื่นอยู่นะ
มาตรการป้องกันโรคโดยเฉพาะการใส่หน้ากากในที่สาธารณะ และการหลีกเลี่ยงกิจกรรมรวมตัวแบบเสี่ยง ยังเป็นเรื่องสำคัญที่การ์ดตกไม่ได้
ท้ายสุดคือไม่ได้พูดถึงมาตรการรองรับปัญหาลองโควิดให้ชัดเจน เพราะขนาดของปัญหาคงยิ่งใหญ่มาก
นับเฉพาะปีนี้ ยอดผู้ติดเชื้อจนถึงวันนี้น่าถึงยี่สิบล้านคนแล้วมั้ง โดยเอาสิบคูณตัวเลขที่แถลงทางการวันนี้ว่ามียอดผู้ติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาลสะสมมาตั้งแต่ต้นปี 2,385,971 คน
ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่เก็บรวบรวมข้อมูลในระบบสุขภาพของประเทศได้ดีเพื่อใช้เป็นฐานในการวิจัยและพัฒนา
ทีมนักวิจัยจากพื้นที่ตอนเหนือของประเทศนั้น ได้ทำการศึกษาโดยใช้แบบสอบถามทางออนไลน์ระหว่าง มีนาคม 2563 ถึง สิงหาคม 2564
ซึ่งเป็นช่วงการระบาดของสายพันธุ์อัลฟาต่อด้วยเดลตา โดยสอบถามอาการต่างๆ ที่มาก่อนโควิดระบาดและอาการที่เกิดขึ้นภายหลัง
มีคนที่เข้าร่วมเป็นโควิด 4,231 คน และไม่เป็น 8,462 คน โดยเป็นกลุ่มที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป
พบอาการที่น่าจะเป็นผลหลงเหลือจากโควิดเองโดยตรง (ระยะเวลาติดตาม 3-5 เดือน) เกิดขึ้น 12∙7%
โดยพบอาการเหล่านี้ 21∙4% ในคนที่เป็นโควิด และพบ 8∙7% ในคนที่ไม่เป็น
นั่นหมายความว่าในช่วงโควิดระบาดหนัก ผลทางด้านจิตใจต่อคนที่ไม่เป็นโควิด ก็ทำให้คนเรามีอาการโน่นนี่นั่นเกิดขึ้นได้ไม่ต่างจากคนเป็นโควิด
แต่อาจต้องระวังนิดนึงว่า เขาไม่ได้ตรวจเลือดยืนยันคนที่ไม่เป็นโควิดแต่มีอาการว่ามีการติดเชื้อแบบไม่รู้ตัวหรือเปล่า
อาการที่พบบ่อยคือ เจ็บหน้าอก หายใจลำบากหรือหายใจขัด ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ จมูกไม่รับกลิ่นลิ้นไม่รับรส ปวดแสบปวดร้อนแขนขา จุกในคอ และอ่อนเพลียเหนื่อยล้า