ในห้วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์แห่ง “วันมาฆบูชา” ซึ่งจะมาถึงในวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ ประชาชนชาวไทย ควรได้ทราบถึงแนวปฏิบัติสำคัญที่จะส่งผลต่อชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในสองประเด็นหลักที่มักสร้างความสงสัย นั่นคือการหยุดทำการของสถาบันการเงิน และการควบคุมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ในวาระอันสำคัญนี้ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ได้ประกาศให้สถาบันการเงินทุกแห่งหยุดทำการ ครอบคลุมทั้งธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสาขาของธนาคารต่างประเทศทั่วทั้งแผ่นดิน เสมือนการร่วมรำลึกถึงความสำคัญของวันมาฆบูชา อย่างไรก็ดี ในยุคดิจิทัลเช่นนี้ การทำธุรกรรมทางการเงินยังคงดำเนินไปได้อย่างไม่ขาดสาย ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง
ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศให้วันมาฆบูชาเป็นวันหยุดทำการของสถาบันการเงินทุกแห่ง ครอบคลุมทั้ง:
ผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินในวันดังกล่าวยังสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ตามปกติ เช่น:
ด้วยความเคารพต่อวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันมาฆบูชายังคงถูกควบคุมอย่างเข้มงวด แต่ในปี 2567 ที่ผ่านมา ได้มีการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์บางประการ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาประเพณีและการส่งเสริมเศรษฐกิจ
สำหรับพื้นที่ทั่วไป ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ และสถานบันเทิงทั้งหลาย ยังคงต้องงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด แต่มีข้อยกเว้นพิเศษสำหรับสนามบินนานาชาติหกแห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่ ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายได้ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัด
ตาม ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2558 ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา หรือ วันพระใหญ่ ได้แก่
รวมถึงยังมี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32 ระบุอีกว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม”
ใครฝ่าฝืนขายสุราในวันมาฆบูชา อาจถูกจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ