วันที่ 3 เมษายน พ.ศ.2568 น่าจะเป็นอีก หนึ่ง วันที่เกิดแรงสั่นทะเทือนในประเทศไทยแต่ไม่ได้มาจากแผ่นดินไหวแต่เกิดจากการที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศเรื่องของกำแพงภาษีสำหรับสินค้าจากประเทศต่างๆ
ที่จะนำเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเทศไทยจากที่เคยคิดกันมาตลอดว่าจะเป็นฐานการผลิตเพื่อหลับภัยเรื่องกำแพงภาษีของนักลงทุน นักธุรกิจจากต่างประเทศปรากฏว่าเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐถึง 36%
การที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาสูงย่อมมีผลต่อภาคการส่งออกรวมไปถึงภาคการผลิต และการลงทุนในระยะยาวแน่นอน ถ้ารัฐบาลไม่สามารถเจรจาหรือทำให้กำแพงภาษีตรงนี้ลดลงได้ และคงมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว
นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาคุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย วิเคราะห์ว่า การที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบเรื่องของกำแพงภาษีตามนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอาจจะสร้างความหนักใจและปัญหาหลายอย่างให้กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยแน่นอน
อย่างไรก็ตามประเทศอื่นๆ ทั้งโลกก็กระทบกำแพงภาษีทั้งหมดอย่างน้อย 10% บางประเทศมากกว่าไทยอีก และประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่เป็นคู่แข่งโดยตรงในการเป็นฐานการผลิตซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมาดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศไปจากประเทศไทยได้มาก
อย่างเวียดนามได้รับผลกระทบกำแพงภาษีเช่นกัน และมากกว่าประเทศไทยด้วย โดยเวียดนามโดนไปถึง 46% ซึ่งสัดส่วนว่าประเทศใดโดนเรื่องภาษีมากน้อย น่าจะมีผลมาจากการที่ประเทศนั้นๆ ส่งสินค้าไปสหรัฐอเมริกามากน้อยเพียงใดด้วย และปัจจัยอื่นๆ ประกอบ
ประเทศไทยพึ่งพาสหรัฐอเมริกามากพอสมควร เพราะมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกาปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 5.49 หมื่นล้านบาทหรือประมาณ 18.3% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทย ดังนั้น ถ้าประเทศไทยเจอปัญหาเรื่องของกำแพงภาษีที่สูงขนาดนี้อาจจะกระทบมากพอสมควร
สินค้าที่มาจากประเทศไทยจะวางขายในสหรัฐอเมริกาด้วยราคาที่สูงขึ้น และคงขายได้ลดลง อีกทั้งอาจจะโดนแทนที่ด้วยสินค้าที่ผลผลิตในสหรัฐหรือจากประเทศอื่นๆที่อาจจะเจอกำแพงภาษีที่ต่ำกว่าประเทศไทย ดังนั้น ภาคการผลิตสินค้าที่มีตลาดหลักคือสหรัฐอเมริกาคงได้รับผลกระทบทันทีตอนนี้
นอกจากนี้กลุ่มของนักลงทุนต่างชาติที่คาดหวังว่าจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตก็อาจจะชะลอการลงทุนในกรณีที่ยังไม่ได้เข้ามาในประเทศไทยเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน โดยเฉพาะกลุ่มของนักลงทุน นักธุรกิจที่ย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศจีนไม่ว่าจะเป็นคนจีน หรือต่างชาติ
อย่างน้อยอัตราภาษีที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบยังน้อยกว่าเวียดนามที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับประเทศไทย ภาคอุตสาหกรรมการผลิตในไทยคงได้รับผลกระทบ แต่ถ้าสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นถ้ารัฐบาลไทยมีการเจรจากกับทางสหรัฐอเมริกาแล้วมีการปรับลดภาษีลง สถานการณ์ต่างๆ ที่ชะงักไปจะกลับมาเดินหน้าตามแผนการลงทุนอีกครั้ง
หรือถ้าไม่มีอะไรที่ดีขึ้นยังเชื่อว่าจะมีการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยต่อเนื่อง เพราะประเทศไทยยังมีสิทธิเศษอื่นๆ ที่สามารถมาเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยลดแรงกดดันเรื่องภาษีตรงนี้ เช่น สิทธิพิเศษจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือในกรณีที่ไม่ได้มีกลุ่มลูกค้าในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก การมีฐานการผลิตในไทยยังสะดวกต่อการส่งออกไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยยังสามารถเจรจาเพื่อปรับตัวเลขจากการประเมินต่างๆของสหรัฐอเมริกาเพื่อจะได้มีผลต่อเนื่องมาถึงกำแพงภาษีที่ประกาศมา เพราะประเทศไทยก็มีการตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้เช่นกัน
เช่นสินค้าเกษตรจากสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีเฉลี่ยที่ 27% และอัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของสินค้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 9.8% ซึ่งสูงกว่าสหรัฐเกือบ 3 เท่า
ประเทศไทยยังมีการห้ามนำเข้าเชื้อเพลิงจากเอทานอลและมีข้อจำกัดในการนำเข้าเนื้อวัวเนื้อหมูและสัตว์ปีกจากสหรัฐอเมริกาด้วยรวมไปถึงประเทศไทยอยู่ในบัญชีจับตาของสหรัฐอเมริกาในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นที่มาของอัตราภาษีที่สหรัฐอเมริกาตั้งไว้ที่ 36%
ผลกระทบเหล่านี้ อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขในการเจรจาเพื่อปรับลดกำแพงภาษีได้ด้วย รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเลื่อนการบังคับใช้กำแพงภาษีใหม่ออกไปอีก 90 วัน และเก็บภาษีประเทศต่างๆ ที่ 10% ไปก่อน ซึ่งช่วงระยะเวลา 90 วันที่ชะลอนี้น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ให้ทุกประเทศสามารถเข้ามาเจรจากับสหรัฐอเมริกาได้
ในกรณีที่กำแพงภาษีไม่สามารถปรับลดลงได้ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม การส่งออกของประเทศไทยมีปัญหาแน่นอน และถ้ายังไม่มีประเทศเป้าหมายใหม่ทดแทนจะส่งผลต่อเนื่องในระยะยาวแน่นอน อีกทั้งจะกลายเป็นปัญหาต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว
ก่อนหน้านี้มีหลายหน่วยงานประมาณการณ์ผลกระทบไว้ว่า ถ้าประเทศไทยเจอเรื่องของกำแพงภาษีจากสหรัฐอเมริกา 15% จะส่งผลกระทบต่อ GDP ประเทศไทยประมาณ 1.5 – 1.6% แต่ถ้าเจอกำแพงภาษีที่ 36% ผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับอาจจะมากกว่า 3.6% เพราะค่อนข้างรุนแรง และมีผลกระทบเป็นวงกว้างแน่นอน
ทั้งในเรื่องของการผลิต แรงงาน เงินหมุนเวียนในประเทศไทย ภาษีต่างๆ จะลดน้อยลงหรือหายไปเลย เพราะอาจจะมีการลดการผลิต ลดการจ้างงาน หรือปิดกิจการไปเลย ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจแน่นอน
ในกรณีที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การเจรจาไม่เป็นผลหรือประเทศไทยยังโดนอัตราภาษีที่สูงกว่าที่ผ่านมา ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและเห็นผลทันที คือ เรื่องการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยเห็นนักลงทุนต่างชาติเข้าประเทศไทยมากขึ้นในปีพ.ศ.2567 อาจจะลดน้อยลงในช่วงแรกๆ ถ้าไม่มีการเจรจาหรือการเจรจาไม่เป็นผลก็อาจจะต้องทำใจยอมรับถึงการลดน้อยลงของเงินลงทุนจากต่างประเทศ
รวมไปถึงการที่นักลงทุนต่างชาติเข้าประเทศไทยมาลงทุนแล้ว ก็อาจจะชะลอการดำเนินกิจการ หรือไม่ได้ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ภาคอุตสาหกรรมทั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือโกดังสินค้าให้เช่า รวมไปถึงโรงงานและโกดังสินค้าสำเร็จรูปให้เช่าอาจจะมีการชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในกรณีที่เกิดการต่อสู้กันปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของบางประเทศก็เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการย้ายฐานการผลิตแบบจริงจังและมากกว่าที่ผ่านมา
ทั้งนี้ประเทศจีนชัดเจนแล้วว่าไม่มีการเจรจาหรือประนีประนอมใดๆ กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเลยประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเป็น 104% ทันทีในวันที่ 9 เมษายน และปรับขึ้นมาที่ 125% อีกครั้งวันที่ 10 เมษายนซึ่งมีผลบังคับใช้ในทันที เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเรื่องการส่งออกสินค้าของประเทศจีนรวมไปถึงการหายไปของสินค้าจีนในสหรัฐอเมริกาในอนาคต
และถ้ายังคงอัตรานี้ไปในระยะยาวเชื่อว่าจะมีโรงงานจากประเทศต่างๆ ที่เคยใช้ฐานการผลิตในประเทศจีนย้ายมาไทยหรือประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่อาจจะมีการเจรจาปรับลดภาษีนำเข้าสินค้ากับทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาบ้าง
ประเทศในอาเซียนจะกลายเป็นแหล่งโรงงานของโลกในระยะยาวแน่นอน เพราะหลายประเทศพร้อมเจรจาหรือปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา หรือพร้อมซื้อสินค้าบางอย่างเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐอเมริกาเพื่อเปิดทางไปสู่การเจรจาปรับลดภาษีลง
และถ้าทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงมีความขัดแย้งแบบนี้ และปรับอัตราภาษีหรือเผชิญหน้ากันในเรื่องต่างๆ อาจจะส่งผลดีต่อทั้งประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดการเข้ามาของชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานใประเทศไทยมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดนั้น ชาวจีนที่ทำงานในประเทศไทยแบบมีใบอนุญาตทำงาน ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์มีจำนวนมากถึง 45,646 คน มากเป็นอันดับที่ 1 และมากกว่าชาวญี่ปุ่นไปแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ.2565
ถ้ามีการย้ายฐานการผลิตมากขึ้นก็เป็นไปได้ที่ชาวจีนจะเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ก็ต้องดูเรื่องของการย้ายฐานการผลิตที่ต้องเกิดขึ้นจริง และยั่งยืนในระยะยาวด้วย ซึ่งถ้าเพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงตลาดคอนโดมิเนียมบ้าง
เพียงแต่ ณ ปัจจุบันอาจจะประเมินสถานการณ์ต่างๆ ได้ยากสักหน่อย เพราะหลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด การชะลอการประกาศเรื่องของอัตราภาษีไป 90 วันและการเจรจาของทั้งรัฐบาลไทยกับสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน รวมไปถึงการเจรจาของเวียดนามและประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศด้วย สุดท้ายแล้วกำแพงภาษีอาจจะคงไว้เหมือนที่ประกาศมาหรือลดลงก็เป็นไปได้ทั้งนั้น