ตลาดคอนโดฯพัทยากลับมาคึกคักอีกครั้ง คอลลิเออร์สฯเผยได้ฐานลูกค้าใหม่จีนและญี่ปุ่นชดเชยกลุ่มรัสเซีย พบเริ่มซื้อเพื่ออยู่เองปล่อยเช่าและเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องส่วนใหญ่ซื้อที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท และทำเลยอดนิยมคือ จอมเทียน
นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาซบเซาลงต่อเนื่องมาตั้งแต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากรัสเซียซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ประสบปัญหาเศรษฐกิจโดยค่าเงินรัสเซียลดลงไปมากกว่า 40% ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาต้องพึ่งพากำลังซื้อจากกลุ่มอื่นๆ ทดแทน เช่น จีนและญี่ปุ่น
จากการสำรวจ พบว่า คนจีนที่เข้ามาเที่ยวในพัทยามากขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และมีคนจีนจำนวนไม่น้อยที่เริ่มสนใจซื้อคอนโดมิเนียมในพัทยา ทั้งเพื่ออยู่เองและลงทุนในระยะยาว โดยมีนายหน้าคนจีนเข้ามาเปิดบริษัทหรือเป็นตัวแทนพาคนจีนเข้ามาหาซื้อคอนโดมิเนียมต่างๆ โดยส่วนใหญ่เลือกซื้อโครงการในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท พื้นที่ที่เป็นที่นิยมสูงสุดคือบริเวณจอมเทียน สำหรับกำลังซื้อในกลุ่มนี้คาดว่าอาจจะยังต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะเทียบเท่ารัสเซีย
โดยกำลังซื้อที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ชาวญี่ปุ่น เดิมชาวญี่ปุ่นในชลบุรีส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในศรีราชา เนื่องจากใกล้นิคมอุตสาหกรรมและเป็นแหล่งชุมชนของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ดั่งเดิม ส่งผลให้มีโครงการต่างๆเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นโครงการที่อยู่อาศัย คอมมูนิตี้มอลล์ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ฯลฯ เพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีคนญี่ปุ่นในศรีราชาจำนวนหลักหมื่นคน
สำหรับคนญี่ปุ่นที่เป็นคนรุ่นใหม่ในปีที่ผ่านมา พบว่า เริ่มมีการหาที่พักอาศัยในพัทยาเพิ่มมากขึ้น ทั้งในรูปแบบของการหาเช่าคอนโดมิเนียมในทำเลที่ติดกับทะล หรือไม่ไกลจากทะเล เนื่องจากที่ศรีราชาไม่มีโครงการในลักษณะนี้ คือไม่มีหาดทรายแบบที่สามารถลงไปเดินเล่นได้เหมือนพัทยา จอมเทียน หรือนาจอมเทียน รวมทั้งแสงสีในพัทยาก็แตกต่างจากศรีราชาค่อนข้างมาก แต่คนญี่ปุ่นที่มองหาที่อยู่อาศัยในพัทยา อาจจะยังไม่มาก จึงเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจมากขึ้น พบว่า มีนายหน้าจำนวนไม่น้อยที่พยายามจับกลุ่มคนญี่ปุ่นที่ต้องการหาซื้อหรือเช่าคอนโดมิเนียมในพัทยา
คอนโดมิเนียมที่ยังมีคนสนใจเช่า นอกจากจะเป็นโครงการริมทะเลหรือไม่ไกลจากทะเลแล้ว โครงการที่ยังเป็นที่สนใจเช่าในกลุ่มชาวต่างชาติคือ โครงการที่อยู่ในชุมชน มีปัจจัยต่างๆ ครบสำหรับการพักอาศัยในระยะยาว ค่าเช่าอาจจะไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อเดือน หรือถ้าเป็นกลุ่มค่าเช่าที่สูงกว่า 3.5 หมื่นบาทต่อเดือนก็เป็นที่ต้องการเช่นกัน นายสุรเชษฐ กล่าว
ด้านนายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเปิดตัวโครงการเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟีย พัทยา คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ริมหาดนาจอมเทียน มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นการขยายตัวของตลาดพัทยา เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดตัว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพูลวิลล่า TheVille Jomtien จำนวน 80 หลัง สามารถปิดการขายในระยะเวลากว่า 1 ปี และโครงการคอนโดมิเนียม ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (X2 Vibe Pattaya Seaphere) ที่สามารถปิดการขายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ท่ามกลางกระแสโอเวอร์ซัพพลายในตลาดพัทยา โดยกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงคนไทยที่นิยมซื้อเพื่อลงทุนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70-80% ที่เหลือเป็นชาวต่างชาติโดยเฉพาะแถบเอเชีย (จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ฯลฯ) ประมาณ 20-30% ทดแทนกลุ่มรัสเซียที่หายไป
"ตลาดพัทยาเป็นตลาดที่เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาว เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจาการลงทุนต่างๆของภาครัฐ ส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัยตามมา โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่นิยมซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย เพราะมีต้นทุนที่ถูกกว่า แต่ให้อัตราการตอบแทนที่สูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับอสังหาริมทรัพย์ในประเทศของตน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 10-20% ต่อปี"นายชนินทร์ กล่าว
ขณะที่จากการรวบรวมข้อมูลของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่า มีผู้ประกอบการจากส่วนกลางเข้าไปพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก เช่น บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาในเมืองพัทยาจำนวน 3 โครงการ รวม 5,168 หน่วย ได้แก่ โครงการลุมพินี พาร์คบีช จอมเทียน ประกอบด้วยอาคารชุดพักอาศัย 3 อาคาร สูง 30 ชั้น รวมจำนวนห้องชุดพักอาศัย 1,846 หน่วย ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ มีอาคารชุดพักอาศัย 3 อาคาร สูง 20 , 28 และ 30 ชั้น รวมจำนวน 2,168 หน่วย และลุมพินี ซีวิว จอมเทียน ประกอบด้วยอาคารชุดพักอาศัยสูง 30 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 1,154 หน่วย โดยทั้ง 3 โครงการมีจำนวนเหลือขายรวม 900 หน่วย คิดเป็นมูลค่ารวม 1,800 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนกลุ่มลูกค้าโดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทย 95% ในจำนวนนี้เป็นคนกรุงเทพฯถึง 70% คือคนกรุงเทพ ที่เหลือ 5% เป็นชาวต่างชาติยุโรปแถบสแกนดิเนเวีย
สำหรับ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวโครงการเซ็นทริค พัทยา ซึ่งเป็นการลงทุนในพัทยาโครงการแรกของบริษัท ปัจจุบันมียอดขายประมาณ 85% ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยและคนต่างชาติในสัดส่วน 50:50
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,176 วันที่ 21 - 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559