thansettakij
สสส.ผนึกพันธมิตรปั้นพื้นที่สุขภาวะ สร้างสภาพแวดล้อมสุขภาพ

สสส.ผนึกพันธมิตรปั้นพื้นที่สุขภาวะ สร้างสภาพแวดล้อมสุขภาพ

22 มี.ค. 2568 | 04:43 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มี.ค. 2568 | 04:43 น.

สสส. เดินหน้าผนึกพันธมิตรกลุ่ม we!park และภาคีเครือข่าย รุกปั้นพื้นที่สุขภาวะ สร้างสภาพแวดล้อมสุขภาพ ยกระดับวิถีชีวิตกระฉับกระเฉงทั่วถึง

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการยกระดับการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยร่วมมือกับ กลุ่ม we!park และภาคีเครือข่าย 

ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเมืองเพื่อสุขภาพของไทยอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ Public Tour สำรวจเมือง 3 เส้นทาง ได้แก่ ทางเรือ ทางน้ำ และการเดินเท้า นิทรรศการเมืองแห่งการมีส่วนร่วม และกิจกรรมสร้างเครือข่าย

ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรค NCDs มากขึ้น ส่งผลให้ประเทศต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษามูลค่ามหาศาล ซึ่ง 1 ในพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ คือ การไม่ขยับเคลื่อนไหวร่างกายหรือมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ คนไทยมีสถิตินั่งนาน 13 ชั่วโมงต่อวัน 

การพัฒนาพื้นที่สุขภาวะจึงเป็น 1 ยุทธศาสตร์เพื่อเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น สสส. ได้ร่วมส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างพื้นที่สุขภาวะที่ครอบคลุมหลายมิติ ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม และให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลพื้นที่ของตนเอง 

โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการต้นแบบที่สามารถขยายผลได้ เช่น สวน 15 นาที พื้นที่ออกกำลังกายใกล้บ้าน ที่ปลอดเหล้า บุหรี่ และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดี

นายยศพล บุญสม ภูมิสถาปนิกและหัวหน้าโครงการ we!park กล่าวว่า ปัจจัยในการพัฒนาเมืองสุขภาวะคือเรื่องการออกแบบ ปัญหาภูมิอากาศที่แปรปรวน ฝุ่น PM2.5 ทางเท้าไม่เรียบ พื้นที่สีเขียวมีน้อย สะท้อนได้ว่าการออกแบบเมืองไม่เอื้อให้ขยับร่างกายในทุกๆ มิติ 

สำหรับการจัดงานดังกล่าวนั้น มีผู้เชี่ยวชาญการออกแบบเมืองจาก 5 เมืองต้นแบบ ได้แก่ โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก) สิงคโปร์ โตเกียว มาเลเซีย และอังกฤษ เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในการพัฒนาเมืองสุขภาพดี

รศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (ทีแพค) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้คนไทยทุกกลุ่มมีภาวะเนือยนิ่งเพิ่มขึ้น พบคนไทยมีกิจกรรมทางกายลดลงจาก 74.6% ในปี 2562 เหลือเพียง 55.5% ในปี 2563 

อีกทั้งยังพบว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้ตกงาน ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ขาดโอกาสการเข้าถึงการส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางกายอย่างเหมาะสม เกิดเป็นความเหลื่อมล้ำใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคม 

และกลุ่มที่น่าเป็นห่วงสุดคือ กลุ่มเด็กและเยาวชนวัยเรียน มีพฤติกรรมติดหน้าจอ ซึ่ง 2 ใน 3 มีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน ทำให้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพระยะยาว เพิ่มอัตราผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายในระบบบริการสุขภาพของประเทศ