thansettakij
"บำรุงราษฎร์" ยกระดับศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ สู่มาตรฐานระดับโลก

"บำรุงราษฎร์" ยกระดับศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ สู่มาตรฐานระดับโลก

06 ก.พ. 2568 | 05:42 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.พ. 2568 | 13:51 น.

รพ.บำรุงราษฎร์ ยกระดับศูนย์การปลูกถ่ายอวัยวะด้วยมาตรฐานระดับโลก พร้อมเผยผลสำเร็จในการปลูกถ่ายหัวใจ ไต ตับ และกระจกตา ระบุอวัยวะที่ทำการปลูกถ่ายมากสุดคือไต เฉลี่ย 20 ราย/ปี ถัดมาคือ ตับ หัวใจ ปอด และตับอ่อน

รศ.นพ.ทวีสิน ตันประยูร ประธานปฏิบัติการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอวัยวะปลูกถ่าย ข้อมูล Global Observatory on Donation and Transplantation (GODT) ระบุว่าในปี 2566 ทั่วโลกปลูกถ่ายอวัยวะทั้งหมดเพียง 1.5 แสนครั้ง และ ‘ไต’ เป็นอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายมากที่สุดในโลก รองลงมาคือ ตับ และหัวใจ ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่ 

โดยในประเทศไทยเริ่มตื่นตัวกับการบริจากอวัยวะเมื่อประมาณ 8 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็อวัยวะก็ยังไม่เพียงพอกับผู้รอรับบริจาก ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย ระบุว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่รอการปลูกถ่ายอวัยวะ สูงถึง 7,486 ราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ในจำนวนนี้กว่า 95% เป็นผู้ป่วยที่รอ ‘ไต’ รองลงมา คือ ตับ หัวใจ ปอด และตับอ่อน ขณะเดียวกันก็มีผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะแล้วเพียง 946 ราย และจะมีผู้เสียชีวิตระหว่างรอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 ราย 

\"บำรุงราษฎร์\" ยกระดับศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ สู่มาตรฐานระดับโลก

สำหรับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับอนุญาตให้ปลูกถ่ายหัวใจ นอกเหนือจากโรงพยาบรัฐ และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านครบทุกอวัยวะ แต่อวัยวะที่รับการปลูกถ่ายจำนวนมากที่สุดคือ ไต เฉลี่ย 20 ราย/ปี โดยในปี 2565 มีจำนวน  22 ราย, ปี 2566 จำนวน 23 ราย และปี 2567 จำนวน19 ราย ถัดมาคือ ตับ ที่สัดส่วนการบริจากถือว่ายังมีจำนวนน้อยแตกต่างจากไตมาก

"เราทำการปลูกถ่ายไตมากที่สุด ส่วนจะมากมาจากผู้บริจาคเสียชีวิต ซึ่งหากลงทะเบียนก็รอรับบริจาคได้ แต่ต้องมีถิ่นพำนักในเมืองไทย และในกรณีชาวต่างชาติต้องมีผู้บริจาคซึ่งมีความสัมพันธ์ตามข้อกำหนด ดังนั้นในตอนนี้สักส่วนผู้มารับบริการของเราจึงเป็นคนไทย 80% ต่างชาติ 20%"

รศ.นพ. ทวีสิน กล่าวว่า จำนวนแพทย์และบุคลากรด้านการปลูกถ่ายอวัยวะของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีหลากหลายสาขาและทีมสหสาขาวิชาชีพขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ต้องได้รับการปลูกถ่าย รวมถึงโรคประจำตัวของผู้ป่วย สามารถครอบคลุมได้ทั้งแพทย์อายุรกรรม, ศัลยกรรม, พยาบาล ICU, OR, Ward, OPD เน้น team approach เป็นหลัก ปลูกถ่ายอวัยวะได้ครบทั้ง 3 อวัยวะ และ 1 เนื้อเยื่อ ได้แก่ หัวใจ ไต ตับ และกระจกตา โดยได้จากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

\"บำรุงราษฎร์\" ยกระดับศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ สู่มาตรฐานระดับโลก

นพ. ทัตพงศ์ จิตเอื้ออารีย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ - ไตวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ไต เป็นอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่ายบ่อยที่สุดในโลก โดยกลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายไต คือผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย ทั้งในกลุ่มที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตหรือยังไม่ได้รับการบำบัดทดแทนไตสามารถปลูกถ่ายไตได้ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการประเมินความพร้อมด้านสุขภาพก่อนเข้ารับการปลูกถ่ายไต และสามารถปลูกถ่ายไตผู้ป่วยได้ตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ปี จนถึงอายุมากกว่า 80 ปี 

"บำรุงราษฎร์มีอัตราความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตสูงกว่า 90% เป็นอัตราความสำเร็จที่สูงเทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกอย่างสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปตะวันตก โดยการใช้เทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องและหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด ทั้งยังสามารถทำการปลูกถ่ายไตข้ามหมู่เลือดได้สำเร็จ ทำให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและมีโอกาสกลับมามีชีวิตที่สมบูรณ์ได้อีกครั้ง"

พญ. ปิยฉัตร พิพัฒนพงศ์โสภณ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ - หัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ในอวัยวะอย่าง หัวใจ ก็สำคัญ หัวใจที่อ่อนล้าไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ จะทำให้เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงถึง 10% ต่อปี ‘การปลูกถ่ายหัวใจ’ จึงเป็นการรักษาขั้นสูงสุดที่ช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย ปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจถือว่าประสบความสำเร็จสูง จากสถิติผู้ป่วยมีอัตรารอดชีวิตมากถึง 85-90% หากผู้ป่วยไม่ได้รับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนใหญ่อาจเสียชีวิตภายในระยะเวลาเพียง 1-2 ปี

\"บำรุงราษฎร์\" ยกระดับศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ สู่มาตรฐานระดับโลก

พญ. อรพิน ธนพันธุ์พาณิชย์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร - โรคตับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ตับ มักเป็นผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับตับในระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายตับ ได้แก่ 

1. ภาวะตับวายเฉียบพลัน มักเกิดกับผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคตับมาก่อน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาดหรือเกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ 

2. โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่ทำให้มีการสะสมสารบางอย่างในตับผิดปกติ ส่งผลต่อการทำงานของตับและอวัยวะอื่น ๆ 

3. ภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนทำให้เป็นตับแข็งระยะท้ายที่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยยาหรือเทคนิคการรักษาอื่น ๆ ซึ่งเกิดหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและเชื้อไวรัสอื่น ๆ การดื่มสุรามากเกินไปเป็นระยะเวลานานและโรคไขมันพอกตับ และ 

4. โรคมะเร็งตับ ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนและสภาพของตับว่าเหมาะสมกับการปลูกถ่ายตับหรือไม่ หากเป็นในระยะแรกเริ่ม แพทย์สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการอื่น ซึ่งการรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับจะช่วยยืดอายุและเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีขึ้น

ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายตับ จะมีอัตราการรอดชีวิตสูงถึง 97% ในปีแรก, 82% ใน 5 ปี และ 67% ใน 10 ปี ซึ่งถือเป็นอัตราความสำเร็จที่สูง สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์และการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ และด้วยประสบการณ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยมากกว่า 4.2 หมื่นรายต่อปี สามารถดูแลรักษาโรคตับได้อย่างครอบคลุม เช่น ตับอักเสบเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ก้อนเนื้อในตับ ไขมันพอกตับ และมะเร็งตับ จนถึงการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ ทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง 

\"บำรุงราษฎร์\" ยกระดับศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ สู่มาตรฐานระดับโลก
ศ.พญ. งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ แพทย์เฉพาะทางด้านจักษุวิทยา การผ่าตัดแก้ไขสายตา กระจกตา และ ต้อกระจก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า ในส่วนของกระจกตา เป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคกระจกตาเสื่อม กระจกตาโก่ง/ย้วย กระจกตาบวม และกระจกตาเป็นแผล ‘การปลูกถ่ายกระจกตา’ จะเป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนกระจกตาส่วนที่เสียหายด้วยกระจกตาจากผู้บริจาค เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการมองเห็นของผู้ป่วยให้ดีขึ้น มีด้วยกัน 2 วิธี คือ 

1. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาทุกชั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาที่กระจกตาทุกชั้น และ 

2. การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาเฉพาะชั้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาที่กระจกตาบางชั้นเท่านั้น โดยมีให้เลือกทั้งการปลูกถ่ายกระจกตาชั้นบน และการปลูกถ่ายกระจกตาชั้นใน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ประสบความสำเร็จในการปลูกถ่ายกระจกตาด้วยอัตราสูงถึง 97% โดยผู้ป่วยยังคงมองเห็นได้ชัดเจนหลังการผ่าตัด 1 ปี และไม่มีรายงานภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เช่น การติดเชื้อ ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมามองเห็นเป็นปกติได้