เป็นโควิดกักตัวกี่วันถึงจะปลอดภัยไม่แพร่เชื้อ 10 วันพอหรือไม่ เช็คเลย

19 ส.ค. 2565 | 03:33 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2565 | 10:33 น.

เป็นโควิดกักตัวกี่วันถึงจะปลอดภัยไม่แพร่เชื้อ 10 วันพอหรือไม่ เช็คเลยที่นี่มีคำตอบ หมอธีระเผยข้อมูล ทีมวิจัยจาก Imperial College London สหราชอาณาจักร

เป็นโควิดกักตัวกี่วัน คือตำถามที่ยังได้รับความสนใจตลอดมา หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19  โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนยังมีอยู่อย่างเนื่อง

 

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความ

 

อย่าออกนโยบายที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ...

 

การชงลดวันกักตัวเป็น 5+5 นั้นไม่สอดคล้องกับหลักฐานวิชาการแพทย์ในปัจจุบัน

 

ดังที่เคยทราบจากงานวิจัยก่อนหน้านี้แล้วว่า หากแยกกักตัว 5 วัน โอกาสที่จะมีผู้ติดเชื้อที่ยังคงสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้นั้นสูงถึง 50%, 7 วัน 25%, และ 10 วัน 10% 

 

เกิน 14 วันจึงจะปลอดภัย 

 

ดังนั้นหากแยกตัวกักตัวน้อยกว่า 14 วันจึงมีความเสี่ยง และทางที่ควรพิจารณาทำในทางปฏิบัติโดยพยายามลดความเสี่ยงคือ การแยกตัวกักตัวอย่างน้อย 7-10 วัน

 

โดยต้องแน่ใจว่าสุขภาพดีขึ้นจน"ไม่มีอาการป่วย และตรวจ ATK เป็นผลลบแล้ว" จึงค่อยออกมาใช้ชีวิตโดยป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดและควรใส่หน้ากาก N95 หรือเทียบเท่า

ล่าสุดเมื่อวานนี้ ทีมวิจัยจาก Imperial College London สหราชอาณาจักร ได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับปริมาณไวรัสในผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 อย่างละเอียดมาก ถือเป็นหลักฐานวิชาการล่าสุดที่ตอกย้ำว่าแนวทาง 5+5 ไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง

 

ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ระบบทางเดินหายใจ The Lancet Respiratory Medicine วันที่ 18 สิงหาคม 2565

 

สรุปสาระสำคัญคือ

 

หากนับจากวันที่ตรวจพบว่าติดเชื้อ...

 

  • แยกกักตัว 5 วัน มีโอกาสหลุด 75%
  • แยกกักตัว 7 วัน มีโอกาสหลุด 35%
  • แยกกักตัว 10 วัน มีโอกาสหลุด 10%

 

เป็นโควิดกักตัวกี่วันถึงจะปลอดภัยไม่แพร่เชื้อ

 

และหากนับจากวันแรกที่เริ่มมีอาการป่วย...

 

  • แยกกักตัว 5 วัน มีโอกาสหลุด 67%
  • แยกกักตัว 7 วัน มีโอกาสหลุด 30%
  • แยกกักตัว 10 วัน มีโอกาสหลุด 10%

ด้วยชุดข้อมูลความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบัน ชี้ชัดว่า 5+5 ไม่ใช่นโยบายที่ควรทำ

 

ปัจจุบันการใช้ชีวิต ทำมาหากิน ศึกษาเล่าเรียน และระบบเศรษฐกิจนั้นพอขับเคลื่อนไปได้ แต่ต้องยอมรับความจริงว่าการระบาดในประเทศนั้นมีจำนวนมาก คนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษามาตรฐานสากลได้ และจำนวนคนเสียชีวิตของไทยก็ยังติดอันดับต้นๆ ของเอเชียและของโลก

 

นโยบายและมาตรการที่ควรทำคือ การกระตุ้นเตือนให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงสถานการณ์จริง ใช้ชีวิตอย่างมีสติ และป้องกันตัวอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

 

อย่าเข็นนโยบายที่อาจทำให้สถานการณ์ระบาดยืดเยื้อยาวนานกว่าที่ควร หรือรุนแรงมากกว่านี้เลย

 

ทุกชีวิตมีค่า

 

สำหรับประชาชนรวมถึงนายจ้างลูกจ้าง ควรนำความรู้ไปประยุกต์ใช้สำหรับตนเอง ครอบครัว และกิจการของตนเองตามความเหมาะสม