คลอดกฎหมายฟัน “โฆษณาเครื่องสำอาง” อวดอ้างสรรพคุณเปลี่ยนโฉมร่างกาย

03 ก.ย. 2567 | 10:02 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ย. 2567 | 10:09 น.

ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงจ่อฟัน “โฆษณาเครื่องสำอาง” อวดอ้างสรรพคุณบำบัด บรรเทา รักษาโรค หรือทำให้เข้าใจว่ามีผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย ดันให้มีผลใช้บังคับก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 นี้

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 3 กันยายน 2567 มีมติอนุมัติหลักการร่างกระทรวงกำหนดข้อความอย่างอื่นที่ถือว่าเป็นข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวมที่ต้องห้ามใช้ในการ โฆษณาเครื่องสำอาง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เนื่องด้วยเครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัย ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการใช้ข้อความโฆษณาเครื่องสำอาง ที่มีการแสดงสรรพคุณในการบำบัด บรรเทา รักษาโรค หรือทำให้เข้าใจว่ามีผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกาย 

หรือมีผลต่อการกระทำหน้าที่ใด ๆ ของร่างกาย ที่มีวัตถุประสงค์นอกเหนือจากเพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะที่ปรากฏ ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นเกินขอบข่ายของการเป็นเครื่องสำอางและอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในวิธีการใช้หรือทำให้ได้รับผลกระทบที่รุนแรงได้ 

ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับข้อมูลที่ ไม่เกินจริงไม่เกินขอบข่ายของการเป็นเครื่องสำอาง อันจะนำไปสู่การพิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อและใช้เครื่องสำอางได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย ไม่เกิดอันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง

จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงกำหนดข้อความอย่างอื่นที่ถือว่าเป็นข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคหรือเป็นข้อความที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเป็นส่วนรวม ที่ต้องห้ามใช้ในการโฆษณาเครื่องสำอาง พ.ศ. .... กำหนดข้อความที่ห้ามใช้ในการโฆษณาเครื่องสำอางเพิ่มเติมจากที่พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 กำหนดไว้ ดังนี้

1. ข้อความที่สื่อความหมายถึงการใช้กับบริเวณภายในร่างกายมนุษย์ แต่ไม่รวมถึงข้อความที่เกี่ยวกับผ้าอนามัยชนิดสอดหรือข้อความที่สื่อความหมายถึงการใช้กับฟันและเยื่อบุในช่องปาก 

2. ข้อความที่สื่อให้เข้าใจว่า นำไปใช้ฉีด หรือใช้ร่วมกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่รุกล้ำเข้าไปในร่างกาย หรือเครื่องมือประกอบในการผลักดันสารเข้าสู่ร่างกาย เช่น Mesotherapy 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียต่อร่างกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว โดยมีหน่วยงานและประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็น ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอาง องค์กรอิสระด้านการคุ้มครองผู้บริโภค และประชาชนทั่วไปซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับนี้ 

อีกทั้งในคราวประชุมคณะกรรมการเครื่องสำอางครั้งที่ 1/2567 วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ทั้งนี้ อย. ได้จัดทำรายการวิเคราะห์ผลกระทบโดยรวมที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายว่าด้วยแล้ว 

อย่างไรก็ตามโดยที่ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ เป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลใช้บังคับก่อนวันที่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ 

จึงอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติดังกล่าวที่กำหนดให้ต้องมีการออกกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ (ภายในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566) 

โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาในการออกกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการให้ร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับก่อนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567