วัคซีนโควิดที่มีในประเทศ กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ไม่ต้องรอรุ่นใหม่

23 ธ.ค. 2565 | 13:20 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ธ.ค. 2565 | 20:21 น.

กรมควบคุมโรค ยัน วัคซีนโควิดที่มีในประเทศสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ประชาชนเข้ารับบริการได้ทันทีที่ รพ.ใกล้บ้าน ไม่ต้องรอรุ่นใหม่

23 ธันวาคม 2565 นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ กล่าวว่า สถานการณ์โรคโควิด 19 ของประเทศไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบเริ่มชะลอตัวลง ยังจะพบการระบาดในลักษณะ Small Wave โดยกลุ่มที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด 19 สูงสุดเป็น กลุ่ม 608 (ร้อยละ 95) ทั้งหมดเป็นผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย หรือไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือได้รับเข็มกระตุ้นนานเกิน 3 เดือน

 

ทั้งนี้ การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง และคำแนะนำจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ครั้งที่ 8/2565 วันที่ 9 ธันวาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบให้ กลุ่มเป้าหมายที่สมควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยสามารถใช้วัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องรอวัคซีนรุ่นใหม่ (mRNA bivalent)

 

ในช่วงสถานการณ์โควิดขาขึ้นเวลานี้ เนื่องจากวัคซีน mRNA monovalent ยังมีประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อของสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบัน และลดความรุนแรงของโรคได้ดี

นายแพทย์ธเรศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากกรณีที่มีการกล่าวอ้างผลวิจัยว่า "วัคซีนเข็มกระตุ้นเกิน 3 เข็ม ไม่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน และไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ" นั้น ขัดกับข้อเท็จจริงของผลการศึกษาประสิทธิผลการฉีดวัคซีนในประเทศไทยที่พบว่า วัคซีนเข็มที่ 4 สามารถป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ดีมากกว่าการรับวัคซีนเพียง 3 เข็มมานานหลายเดือน

 

เห็นได้จากอัตราการเสียชีวิต ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนมาแล้วเป็นเวลานาน และผู้ที่ได้รับวัคซีนตามกำหนด รวมทั้งเข็มกระตุ้น ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงเมื่อติดโควิด ดังนั้น เป้าหมายหลักของกระทรวงสาธารณสุขในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น คือ ผู้ที่ได้วัคซีน 3 เข็มมาเกิน 4 เดือนแล้ว

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ กล่าวถึงผลการศึกษาวิจัยในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2565 ของประเทศสหรัฐอเมริกาว่า เมื่อนำวัคซีน mRNA รุ่นใหม่ (bivalent) มาฉีดเป็นเข็มกระตุ้นในผู้ที่เคยได้รับวัคซีน mRNA รุ่นปัจจุบัน (monovalent) อย่างน้อย 2 เข็ม สามารถลดการติดเชื้อแบบมีอาการได้ประมาณร้อยละ 28-56 และมีความปลอดภัยไม่ต่างกับวัคซีน mRNA รุ่นปัจจุบัน

 

รวมทั้งคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม 2565 แนะนำว่า สามารถใช้วัคซีน mRNA ฉีดเป็นเข็มกระตุ้นทั้งรุ่นใหม่และรุ่นปัจจุบัน อยากเชิญชวนให้ทุกคนได้รับวัคซีน 4 เข็ม โดยนับจำนวนเข็มรวมทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นวัคซีนชนิดใด

 

เนื่องจากขณะนี้มีความเสี่ยงสูงจากการระบาดของโรค ประชาชนควรได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเมื่อได้ฉีดมานานแล้วเกิน 4 เดือนขึ้นไป ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น 608 หรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคไต โรคปอด หัวใจ มะเร็ง กินยากดภูมิต้านทาน ฯลฯ จะสร้างภูมิต้านทานได้ไม่ดี จึงยังมีความจำเป็นที่ควรจะได้รับการกระตุ้น เข็ม 4 และผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงดีก็สามารถรับได้ตามความสมัครใจ ถ้าได้รับวัคซีนเข็ม 3 มานานมากแล้ว

 

นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร กล่าวเสริมว่า เมื่อพิจารณาถึงบริบทของประเทศที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีและคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น คณะอนุกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้ กลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น เข้ารับวัคซีนตามระยะเวลาที่กำหนด โดยสามารถฉีดวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องรอวัคซีนรุ่นใหม่ (mRNA bivalent)

 

เนื่องจากวัคซีนที่มีอยู่แล้วในเวลานี้ มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรค และลดความรุนแรงของโรคได้ดีไม่ต่างจากวัคซีนรุ่นใหม่ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขจะมีการติดตามข้อมูลทางวิชาการโดยมีคณะกรรมการกลั่นกรอง และมีการออกคำแนะนำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเป็นระยะ ๆ ในขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข จึงเร่งรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 เพื่อลดการป่วยอาการรุนแรงและเสียชีวิต และเน้นสื่อสารให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 ทราบถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนอย่างน้อยคนละ 4 เข็ม เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันให้สูงเพียงพอ