โรคไข้เลือดออก มาลาเรีย ระบาดหนัก แนะ วิธีป้องกันตัวไม่ให้โดนยุงกัด

22 ม.ค. 2566 | 20:03 น.

แนวโน้มผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก - มาลาเรียเพิ่มสูงขึ้นในปี 2566 แนะ วิธีรับมือพร้อมการป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัดง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

สถานการณ์โรคไข้เลือดออกและโรคมาลาเรียของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นซึ่งจากข้อมูลกรมควบคุมโรค พบว่า ขณะนี้ประเทศไทยพบรายงานผู้ป่วยโรคติดต่อนำโดยยุงเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคไข้เลือดออก และโรคมาลาเรีย

จากรายงานในปี 2565 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสม 45,145 ราย ซึ่งมากกว่าปี 2564 ถึง 4.5 เท่า อีกทั้งมีรายงานการเสียชีวิตยืนยันถึง 31 ราย ส่วนโรคไข้มาลาเรีย ข้อมูลจากระบบมาลาเรียออนไลน์ในปี 2565 พบผู้ป่วยสะสม 10,174 ราย สูงกว่าปี 2564 ถึง 3 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 

จากแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกและมาลาเรียที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว เภสัชกรวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แนะนำวิธีการป้องกันตนเองเบื้องต้นให้ปลอดภัยจากโรคดังกล่าวไว้ โดยสิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องระมัดระวังไม่ให้โดนยุงกัด

หนึ่งในวิธีการป้องกันอย่างง่าย ๆ  คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุง ซึ่งมีทั้งรูปแบบการทาหรือฉีดพ่นผิวหนัง ออกฤทธิ์โดยการไปรบกวนกลไกการรับรู้กลิ่นของยุง จึงสามารถใช้ในการไล่ยุงแต่ไม่สามารถฆ่ายุงได้

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการไล่ยุงนั้น จัดเป็นวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของ อย. 

1.ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มีสารดีอีอีที (DEET), เอทิลบิวทิลอะซีทิลอะมิโนโพรไพโอเนต (Ethyl butylacetyl aminopropionate), อิคาริดิน (Icaridin) ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.

  • ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ฉลากมีการแสดงเลขทะเบียน อย. วอส. ในกรอบเครื่องหมาย อย. และแสดงระยะเวลาในการป้องกันยุง 

2.ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่มีน้ำมันตะไคร้หอม เป็นสารออกฤทธิ์ในการไล่ยุง ไม่ต้องขอขึ้นทะเบียนแต่ต้องแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่อ อย.

วิธีการเลือกซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงอย่างถูกต้อง

  • เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการแสดงเลขที่รับแจ้งบนฉลาก 
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุง 
  • ควรใช้อย่างระมัดระวัง 
  • อ่านฉลากและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด 
  • เก็บผลิตภัณฑ์ในที่มิดชิด ห่างจากเด็ก อาหาร และสัตว์เลี้ยง 
  • ปิดฝาให้สนิทและอย่าให้ถูกแสงแดด เปลวไฟ หรือความร้อน  
  • ห้ามรับประทาน 
  • ห้ามใช้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 4 ปี ควรใช้เฉพาะที่เมื่อจำเป็นเท่านั้น
  • อย่าใช้ติดต่อกันเป็นประจำ
  • ล้างมือทุกครั้งหลังใช้ผลิตภัณฑ์ 

คำแนะนำ

ก่อนใช้ ควรทดสอบการแพ้ โดยการทาหรือพ่นที่บริเวณข้อพับแขน อย่าทาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน เช่น บริเวณใกล้ตา ริมฝีปาก เปลือกตา รักแร้ หรือทาบริเวณแผล