นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ไทย เมดิเคิล กรุ๊ป จำกัด หรือ TMG เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ยอมรับว่าปัจจุบันเรื่องของสุขภาพในประเทศไทย ภาครัฐยังไม่สามารถซัพพอร์ตได้อย่างเต็มที่เพราะไม่ได้สนับสนุนการแพทย์ระดับชุมชนซึ่งสำคัญมาก เห็นได้จากงบประมาณส่วนใหญ่จะถูกทุ่มให้กับโรงพยาบาลจังหวัดและมหาวิทยาลัยแต่เรื่องของการป้องกันกลับไม่ได้รับความสนใจ
ทั้งนี้ TMG ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ ที่ผ่านมามีการลงทุนในเรื่องของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ค่อนข้างมาก โดยมีโครงการรองรับซีเนียร์ แคร์ 4 โครงการ ได้แก่ ธนบุรี เวลบีอิ้ง จ.เชียงใหม่ 2 แห่งสำหรับรองรับซีเนียร์ แคร์ต่างชาติเป็นหลัก, โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ สำหรับรองรับซีเนียร์ แคร์ทั้งคนไทยและต่างชาติ และธนบุรี เฮลท์ วิลเลจ ประชาอุทิศรองรับซีเนียร์ แคร์คนไทยชนชั้นกลาง
ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาทในการพัฒนาโครงการ La Torre Medical Wellness Center พระราม 3 บนเนื้อที่ 5 ไร่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งอยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามบางกระเจ้า ซึ่งเป็นที่ดินเช่าของสมาคมเตชะสัมพันธ์ ระยะเวลา 60 ปี เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพองค์รวมในรูปแบบ Luxury Service ระดับ 6 ดาว ประกอบด้วย ส่วนอาคารที่พักอาศัย 56 ชั้น 376 ยูนิต, Medical Wellness Center, Fitness, ร้านอาหารดัง, ภัตตาคารบนชั้นรูฟท็อป และลานจอดเฮลิคอปเตอร์
ในส่วนของ Medical Wellness Center นั้น เป็นศูนย์การแพทย์ 4 ชั้นประกอบด้วย ศูนย์บริการตรวจสุขภาพ, ศูนย์กายภาพบำบัด, ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น, ศูนย์สุขภาพผิวหนังและความงาม และศูนย์สุขภาพสำหรับผู้ออกกำลังกาย และที่สำคัญยังมี Health Tech หรือบริการโรงพยาบาลเสมือนแบบครบวงจร ให้บริการให้คำปรึกษาโดย บุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านระบบออนไลน์, การให้การดูแลสุขภาพ ที่บ้าน ตลอดจนการจัดส่งยาและ เวชภัณฑ์ถึงบ้าน โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568
“La Torre Medical Wellness Center เกิดขึ้นเพราะเราให้ความสำคัญกับสังคมสูงอายุ ที่นี่จะให้บริการ World Class และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดพร้อมกับบริการระดับ 6 ดาวรองรับชาวต่างชาติและคนไทยระดับบน เน้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรค เพราะการรักษาหลังเป็นโรคมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่งศาสตร์สมัยใหม่
โดยเฉพาะ AI จะช่วยในการรักษาพยาบาลและติดตามการวินิจฉัยโรคและการป้องกันได้ดีกว่า และค่าใช้จ่ายถูกลงเยอะมาก แพทย์หนึ่งคนอาจจะสามารถดูแลคนไข้ได้ 5,000 คน ซึ่งเราได้ลงทุน R&D และส่งทีมงานเข้าไปศึกษาเทคโนโลยีในหลายประเทศโดยเฉพาะอิสราเอลเพราะมีการพัฒนาเทคโนโลยีได้ดีมาก”
หมอบุญ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบัน La Torre Medical Wellness Center อยู่ระหว่างขั้นตอนการขอใบอนุญาตก่อสร้างและคาดว่าจะสร้างเสร็จพร้อมเปิดบริการทั้งโครงการในช่วงปลายปี 2568 โครงการนี้จะแบ่งเป็นยูนิตสำหรับเช่า 50% และขาย 50% ลูกบ้านที่จะเข้ามาอยู่ในโครงการยูนิตสำหรับขายคาดว่าจะเป็นคนไทย 25% ส่วนที่เหลือจะเป็นชาวต่างชาติและเกษียณอายุซึ่งตอนนี้ TMG ได้เจรจากับหลายๆประเทศโดยเฉพาะ ญี่ปุ่น ในการส่งต่อผู้สูงอายุเข้ามาดูแลในโครงการ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่นสูงมาก รองลงมาเป็นยุโรป
“ประเทศไทยมีคนต้องการเข้ามาอยู่นับสิบล้านคนแต่ปัญหาใหญ่คือประกันสุขภาพ แต่เราได้เปรียบเพราะบริษัทเข้าไปร่วมลงทุนกับภาครัฐหลายแห่งผ่านระบบประกันสุขภาพ หลังจากรักษาดูแลตามสิทธิ์ที่ประกันสังคม Cover เราสามารถย้ายคนไข้ไปอยู่ในโครงการที่เราบริหารอื่นๆหรือส่งกลับบ้านและเข้าสู่ขั้นตอน เทเลเฮลท์ได้
ซึ่งตอนนี้อยู่ขั้นตอนเจรจาถ้าเราสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ได้ ต้นทุนของประกันสังคมจะถูกลงด้วย เพราะการแพทย์เป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุด เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาดูแลให้ดีกว่าเดิม และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยให้มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดนี่เป็นหลักการของการทำการแพทย์แบบครบวงจร หรือ Wellness Center
ในส่วนงบการลงทุน โชคดีที่รู้จักกับบริษัทชั้นนำของประเทศจีน 3-4 บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 2 แสนล้านบาทเข้ามาช่วยซัพพอร์ตในการขยายธุรกิจของ TMG อย่างเต็มที่ทั้งในสปป. ลาว เวียดนามบังกลาเทศ พม่าและในไทย”
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,858 วันที่ 2 - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566