"ฝีดาษลิง" กำลังแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ทำให้เวลานี้กลายเป็นที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (หมอธีระ) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)" โดยมีข้อความระบุถึงการแพร่ระบาดของฝีดาษลิง ว่า
เคยวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่สิงหาคมปีก่อน ว่ายืดเยื้อแน่นอน และจะดำเนินไปในลักษณะคล้ายเอชไอวี เพราะ mode of transmission คล้ายกัน
ล่าสุดเดือนที่ผ่านมา ไทยเรามีเคสใหม่ถึง 48 ราย สูงกว่าเดือนก่อนกว่า 2 เท่า และส่วนใหญ่อยู่ในกทม.
ดังนั้น จึงควรป้องกันตัว หมั่นสังเกตคนที่เราคลุกคลีใกล้ชิด โดยเฉพาะคนที่ทำงานภาคบริการ และแหล่งท่องเที่ยวกลางคืน ไม่ว่าจะกทม.หรือเขตเมืองในต่างจังหวัด และจังหวัดท่องเที่ยว
หมอธีระ วิเคราะห์ย่างก้าวของฝีดาษลิงด้วยว่า ย่างก้าวการระบาดของฝีดาษลิงนั้นมีความคล้ายคลึงกับเอชไอวีสมัยก่อน แต่ฝีดาษลิงนั้นมี feature ที่ overlap กับโรคอื่นด้วย เช่น โควิด-19
ไม่ว่าจะในเรื่องกลุ่มประชากรเริ่มต้นที่มีการระบาดมาก หรือในแง่ของช่องทางการติดเชื้อแพร่เชื้อ
ซึ่งนอกจากฝีดาษลิงจะติดต่อผ่านการสัมผัสทางกายเป็นหลักแล้ว ในแถบแอฟริกายังมีการแพร่จากแม่สู่ลูกผ่านทางรก และยังมีโอกาสติดผ่านการปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวหรือที่จะจับต้องได้ (Fomites) และยังมีการตรวจพบสารพันธุกรรมของไวรัสในสิ่งคัดหลั่งทางเดินหายใจ เลือด ปัสสาวะ และอสุจิอีกด้วย
หมอธีระ บอกอีกว่า หากประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ศึกฝีดาษลิงจึงมีโอกาสยืดเยื้อสูง แม้การติดเชื้อจะไม่พุ่งพรวดพราดแบบโควิด-19 ก็ตาม
ด้วยจุดอ่อนเชิงพฤติกรรมของมนุษย์ที่เราทราบกันดี เรื่องเพศ เรื่องการสัมผัสใกล้ชิด และการแชร์โน่นนี่นั่นร่วมกัน รวมถึงการรักษาความสะอาดของที่สาธารณะแล้ว เมื่อมีเคสฝีดาษลิงในชุมชนเกิดขึ้น โอกาสแพร่เชื้อติดเชื้อกันไปต่อเนื่องย่อมมีสูง
สำหรับแหล่งที่ต้องระวังคือ สถานบันเทิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงสถานที่พักแรม ที่คนเยอะ แออัด รักษาความสะอาดไม่ดีพอ
Mode of transmission หลักน่าจะหนีไม่พ้นเรื่องการมีความสัมพันธ์สัมผัสคลุกคลีใกล้ชิด และเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะชายกับหญิง ชายกับชาย หญิงกับหญิง หรือแบบกลุ่มก็ตาม
ส่วน Fomite transmission นั้น แม้โอกาสจะน้อยกว่า แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะไม่รู้จะแจ็คพอตที่ใคร วันใด และที่ใด
การระงับความอยาก ใช้สติมาช่วยให้เกิดความยับยั้งชั่งใจตอนที่คิดจะสานสัมพันธ์ หมั่นสังเกต ตรวจตราก่อนจะหน้ามืด จึงมีความสำคัญ
การใส่หน้ากากเวลาตะลอน มีความจำเป็น ทั้งป้องกันฝีดาษลิงและโควิด-19
และสุดท้ายคือ การพกสเปรย์แอลกอฮอล์ ไปใช้ล้างมือหลังจับสิ่งของสาธารณะ รวมถึงพ่นฆ่าเชื้อตามสุขา และสถานที่พักแรมตอนที่ไปท่องเที่ยว ก็ถือว่ามีเหตุผลสมควรทำ กันไว้ดีกว่าแก้เหล่านี้คือสิ่งที่ควรปฏิบัติ
ทั้งนี้ หากธรรมชาติการระบาดเป็นไปดังที่เรียนรู้จากอดีต การปะทุที่อาจเกิดขึ้นมา ก็จะใช้เวลาสักระยะ ซึ่งนานกว่าโควิด-19 และคล้ายเอชไอวี และมักจะออกมาในรูปแบบ superspreading ในพื้นที่เสี่ยงและกลุ่มประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยงถ้าระบบเฝ้าระวังดีพอ
แต่หากระบบเฝ้าระวังไม่ดีพอ ก็อาจเจอปรากฏการณ์ดาวกระจาย
ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนอย่างพวกเราคือ ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ