กรมควบคุมโรค คาดการณ์สถานการณ์ไข้เลือดออกในประเทศไทยว่า จะมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนหน้านี้ โดยล่าสุดมียอดผู้ป่วยสะสมแล้วมากกว่า 20,000 รายซึ่งวิธีการที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้ยุงลายกัดนั่นเอง อย่างไรก็ดี เราทุกคนต่างมีความเสี่ยงกับการถูกยุงกัดได้ ดังนี้ การสังเกตจากอาการที่เกิดขึ้นเพื่อรับมือเป็นการเตรียมความพร้อมที่สุดที่สุดวิธีการหนึ่ง
รู้จักกับ "โรคไข้เลือดออก"
ไข้เลือดออก จัดเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกิ ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ สามารถแพร่ได้โดยมียุงลายเป็นพาหะ
ลักษณะของโรคที่สำคัญ
มีไข้สูง มีอาการเลือดออก และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็อาจทำให้เกิดภาวะช็อกซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ จึงต้องมีการ ติดตาม เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของโรคอย่างใกล้ชิด และให้การรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดภาวะช็อก
อาการไข้เลือดออก
1.ระยะแรก
2.ระยะวิกฤต (เป็นระยะที่ต้องระวังมากที่สุด)
3.ระยะฟื้นตัว
ข้อแนะนำในการดูแลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก
เบื้องต้นในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกขณะที่อยู่ที่บ้านสามารถทำได้ ดังนี้
1.เช็ดตัวเพื่อลดไข้ โดยใช้ผ้าถูตัวชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้วเริ่มเช็ดที่ใบหน้า คอ หลังหู จากนั้นจึงค่อยประคบตามซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับต่าง ๆ
2.ดื่มน้ำมาก ๆ โดยในรายที่อาเจียนแนะนำให้จิบน้ำเกลือแร่เพื่อบรรเทาอาการอ่อนเพลียและให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
3.ให้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ห้ามใช้ยาลดไข้ที่มีส่วนผสมของแอสไพริน หรือ ibuprofen
4.ติดตามดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากมีอาการรุนแรง เช่น อาเจียน ปวดท้องบริเวณชายโครงขวามาก มีเลือดออกรุนแรง ตัวเย็น มือเท้าเย็น ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง หรือ ซึมลงและไม่ค่อยรู้สึกตัว ให้รีบพามาพบแพทย์ทันที
วิธีรักษาอาการไข้เลือดออก
การพาผู้ป่วยเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะดีต่อผู้ป่วยมากที่สุดเพราะหากได้รับการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรก
วิธีป้องกันไข้เลือดออก
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาอาการไข้เลือดได้โดยตรง การป้องกันตัวเองไม่ให้ได้รับเชื้อไวรัสเดงกี คือ การป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงลายกัดนั่นเองซึ่งสามารถป้องกันได้ดังนี้
1. ป้องกันตัวเอง
2. กำจัดแหล่งพาหะ
3. วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก