ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโพสเฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความเกี่ยวกับน้ำมันปลา และสมอง ว่า
น้ำมันปลาช่วยสมอง แต่ต้องเริ่มก่อนเกิดอาการ
หมอธีระวัฒน์บอกว่าพวกเราเกือบทุกคนทราบสรรพคุณของน้ำมันปลา หรือ โอเมก้า-3 โดยมีตัวพระเอกคือ DHA (Docosahexaenoic Acid) และมีพระรองคือ EPA ( Eicosapentaenoic Acid) โดยที่ถ้ากินต้องให้ได้ถึงวันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
และห้ามทานเกินกว่านั้น ชอง EPA และ DHA เพราะจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติอันตรายชนิด AF
ทั้งนี้น้ำมันปลาที่ว่าเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง ชนิด PUFA (Polyunsaturated Fatty Acid) ที่เล็งกันมาก ว่าน่าจะมาชะลอโรคที่ทุกคนกลัวเมื่อเริ่มมีอายุตั้งแต่ 50 ปีกว่าๆ ขึ้นไป และจะโผล่มากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่เปลี่ยนไป
โดยเฉพาะถ้ามีสามผู้ก่อการอันได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง ไขมัน และแถมอีกหนึ่งคือ อ้วนทั้ง 3-4 ผู้ก่อการมีผลก่อให้เกิดการอักเสบ (ไม่ติดเชื้อ) ในร่างกายและเกิดภาวะความผิดปกติในเส้นเลือด
รวมทั้งเส้นเลือดในสมองแม้ยังไม่ตีบตันก็ตาม ได้แก่ ความสามารถในการยืดหยุ่น หดในเวลาที่ควรหด และขยายในเวลาที่ต้องการ
หมอธีระวัฒน์ บอกอีกว่า เส้นเลือดเหล่านี้ทั้งแดงและดำ รวมทั้งช่องว่างรอบๆ เส้นแดง และดำ และที่อยู่ระหว่างเซลล์ในสมองประกอบเป็นระบบระบายของเสีย ดังนั้นถ้าท่อระบายไม่ดี บวกกับการสร้างที่มากขึ้นในคนที่มีชะตาร้าย “ขยะพิษ” เหล่านี้ยิ่งสะสมเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ตอนนี้ถ้าเราเกิดมีดวงชะตาร้าย ยิ่งมีพันธุกรรมหรือยีนที่ชอบเป็นโรคสมองเสื่อมเข่นอัลไซเมอร์ ทั้งปัจจัยภายนอกจากผู้ก่อการร้าย แถมด้วยบุหรี่ สุราเกินขนาด เกินการดื่มเพื่อสุขภาพ (ชาย 3 หญิง 2 แก้ว ต่อวัน) อัลไซเมอร์ยิ่งมาเยือนได้มากยิ่งเร็วขึ้น
ข่าวร้ายของชาวเราๆ ทั้งหลายทั้งสว.สูงวัยหรือยังไม่สูงวัย เพราะการสะสมขยะพิษจนถึงมีอาการใช้เวลาตั้งแต่ 10-15 ปี ขึ้นไป คือ รายงานในวารสาร Lancet Neurology (27 มีนาคม 2017) จากการศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการ 1,680 ราย อายุ 70 ปี หรือมากกว่าที่ยังไม่มีสมองเสื่อมชัดๆ
แต่เริ่มมีบ่นถึงความจำหรือเริ่มงกๆ เงิ่นๆ ในชีวิตประจำวันหรือเริ่มมีฝีก้าวในการเดินเริ่มเชื่องช้าลง จากการติดตามไป 3 ปี (ระหว่าง 2008-2011) ทั้งที่มีการฝึกสมองด้วยโปรแกรมต่างๆ ด้วยการออกกำลัง ปรับอาหาร
และเสริมด้วย DHA 800 มิลลิกรัม และ EPA 225 มิลลิกรัม ต่อวัน หรือเสริมด้วยยาหลอกมาเปรียบเทียบกัน และยังมีกลุ่มที่เสริมด้วยน้ำมันปลาอย่างเดียว โดยไม่มีโปรแกรมเสริมสมอง-ร่างกาย-ปรับอาหาร และกลุ่มที่มีแต่ยาหลอกเฉยๆ
หมอธีระวัฒน์ บอกต่ออีกว่า ผลน่าเศร้าคือ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็ตามอัตราการเสื่อมของสมองมิได้แตกต่างกัน ข่าวนี้ทำให้ชาวเราเริ่มห่อเหี่ยว ทั้งๆ ที่คนไทยตอนนี้ก็สามารถเสริมน้ำมันปลาได้จากการกินปลาทู ปลาดุก ปลาสวาย โดยไม่ต้องซื้อน้ำมันปลาหรือต้องไปซื้อปลาแซลมอนมากิน แต่ต้องกินกับน้ำพริกกะปิ น้ำปลา น้อยๆ หน่อย เพราะอาจได้เกลือโซเดียมมหาศาลเกิดความดันสูง ไตพังเร็ว เข้าไปอีก
อย่างไรก็ดี อย่าเพิ่งเศร้า มีบทความในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกันทางประสาทวิทยา (JAMA Neurology) (17 มกราคม 2017) ออกมาตีปลาหน้าไซก่อน นัยว่าคงได้ระแคะระคาย รายงานฉบับที่กล่าวไว้ก่อนหน้า
รายงานนี้เจาะจงการวิเคราะห์ผลของน้ำมันปลาต่อคนที่มียีนอัลไซเมอร์แบบ APOE 4 ทั้งนี้โดยที่ยีนนี้น่าจะประสงค์ร้ายต่อสมองทำให้การระบายขยะพิษ เบต้า-เอมิลอยด์ (Beta Amyloid) จากสมองไปเลือดไม่สะดวก อีกทั้งสมองจะมีการปรับฟื้นฟูได้แย่ถ้าเกิดมีอันตราย อีกทั้งยังมีการอักเสบมากกว่าธรรมดา และมีผลกระทบต่อเส้นเลือดในสมอง
มีการศึกษามากหลายชี้ว่า ในบรรดาไขมันสมอง DHA เป็นตัวต่อต้านที่สำคัญที่สุดต่อ APOE 4 และอาจจะรวมถึงกลไกที่มาจากผู้ร้ายอื่นๆ ที่ทำให้สมองเสื่อม
นอกจากนั้น ในสมองของคนอัลไซเมอร์จะมีระดับของ DHA น้อยกว่าคนปกติ โปรตีน APOE 4 จะส่งผ่าน DHA เข้าสมองได้น้อยกว่าปกติ โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่เริ่มมีอาการสมองเสื่อม หนำซ้ำในระยะที่เกิดอาการสมองเสื่อมแล้ว จะมีการสลาย DHA ได้มากกว่าธรรมดา
กลไกของ APOE 4 ต่อ DHA ในสมองกล่าวโดยสรุปสามารถแยกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่
คราวนี้เกิดอะไรขึ้น เมื่อมีอาการสมองเสื่อมแล้ว กลไกในสมองยิ่งเลวร้ายหนัก โดยเส้นทางการทำลาย DHA จะเกิดสาร F4-Neuroprostanes การทำลายเกิดจากการที่มีการกระตุ้น Phospholipase A2 (PLA2) และจากผลของการที่มีสารพิษตกตระกอนของ Amyloid ทำให้ DHA หลุดออกจากเซลล์ประสาทเกิดเป็น Unesterified DHA ซึ่งเปลี่ยนเป็น F4-Neuroprostanes
ฉะนั้นในระดับที่มีอาการแล้ว จะอัด DHA เข้าไปก็จะไม่เห็นผลดีนัก ที่กล่าวถึงกลไกซับซ้อนเงื่อนเหล่านี้ เพื่อให้พวกเราเข้าใจว่าการจะใช้ไม่ว่ายา อาหาร อาหารเสริม ควรต้องรู้กลไกเบื้องหลังของสารนั้นๆ และตัวโรค ขั้นตอนของโรคแต่ละตอนจะมีกลไกระบบต่างๆออกไป
หมอธีระวัฒน์ บอกต่อไปอีกว่า การจะสรุปว่าได้ผลหรือไม่ได้ผลจะไม่ตรงไปตรงมา แต่ต้องเลือกว่าจะให้อะไร เมื่อไหร่ โดยพิจารณาอาการดูครอบครัวว่ามีใครเป็นมาก่อน และเริ่มให้แต่เนิ่นๆ ก่อนที่ผู้ร้ายจะแสดงตนเต็มเหนี่ยว