นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้วซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อด้านสุขภาพ เศรฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลไทยจึงได้เสนอและสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาไก (Agreement on the Establishment of the ACAI) โดยได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ดังกล่าวซึ่งได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนมีการลงนามความตกลงว่าด้วยการจัดตั้ง (Agreement on the Establishment of the ACAI) โดยผู้แทนอย่างเป็นทางการของรัฐบาลประเทศสมาชิกอาเซียนครบทั้ง 10 ประเทศ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563
ข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ไทยเป็นประเทศเจ้าบ้านของศูนย์อาไก ซึ่งศูนย์อาไกจำเป็นจะต้องได้รับความเป็นนิติบุคคล และ เอกสิทธ์ ตามกฎหมายไทยตามความตกลงประเทศเจ้าบ้าน (Host Country Agreement) เพื่อให้ศูนย์ฯและสำนักงานของศูนย์ฯสามารถดำเนินงานในประเทศไทยได้ตามวัตถุประสงค์
เป็นที่มาของการจัดพิธีลงนามความตกลงประเทศเจ้าบ้านซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม 2567 โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะลงนามในความตกลงดังกล่าวในนามรัฐบาลไทย กับ นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ในนามประธานกรรมการบริหารศูนย์อาไก
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้กรมการแพทย์ร่วมกับกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาไก โดยได้สนับสนุนทั้งกำลังคน งบประมาณ และ สถานที่ในการจัดตั้งศูนย์ฯ โดยสำนักงานของศูนย์อาไกจะตั้งอยู่บนชั้นที่ 3 อาคารนวัตกรรมเทคโนโลยีสุขภาพผู้สูงวัย กรมการแพทย์ ที่จะมีพิธีเปิดอาคารในวันที่ 11 มีนาคม 2567 เช่นกัน
โดยหลังจากศูนย์ฯได้รับความเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยแล้ว รัฐบาลไทยจะสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ฯปีละไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปีเป็นเวลา 5 ปีต่อเนื่องเพื่อให้ศูนย์ฯ มีความมั่นคงสามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ต่อไปในอนาคต
เชื่อมั่นว่า การดำเนินการของศูนย์ฯดังกล่าวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนในการพัฒนาองค์ความรู้ และ นวัตกรรม เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมสูงวัย และส่งเสริมคุณค่าของผู้สูงอายุให้ยังคงเป็นทรัพยากรสำคัญในการพัฒนาประเทศ ภายใต้ความร่วมมือของประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศรวมทั้งภาคีองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต