วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี ถูกจัดให้เป็น “วันงดสูบบุหรี่โลก” ซึ่งองค์การอนามัยโลก เล็งเห็นอันตรายของบุหรี่ต่อสุขภาพของผู้สูบบุหรี่และผู้ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันบุหรี่ และ “บุหรี่” จัดเป็นสิ่งเสพติดและยังเป็นสินค้าที่ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงได้ง่าย
ขณะที่ในวงการแพทย์นานาชาติยอมรับว่าสานิโคตินในบุหรี่มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้สูบบุหรี่เกิดการเสพติดและมีอำนาจเสพติดสูงกว่าเฮโรอีน กัญชา และยาบ้า โดยสารนิโคตินในบุหรี่จะออกฤทธิ์และทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นสู่การใช้ยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ดังนั้น การสูบบุหรี่จะนำไปสู่การติดยาเสพติดอื่นที่รุนแรงขึ้น เช่น เฮโรอีน กัญชา ฝิ่น หรือ โคเคน รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น จากการศึกษาของ Vathesatogkit P.ในปี พ.ศ.2558 ที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่มากกว่าประชาชนทั่วไป
แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การสูบบุหรี่เป็นปัญหาที่สำคัญของการสาธารณสุขไทย ซึ่งพบว่าภาคใต้เป็นภาคที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุด 22.4% และจังหวัดที่มีอัตราการสูบบุหรี่สูงสุด 5 ลำดับแรกอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ กระบี่ 29.4% สตูล 25.2% พังงา 24.6% นครศรีธรรมราช 24.6% และระนอง 24.5% ส่วนสงขลา ค่าประมาณสถิติของการสูบบุหรี่อยู่ที่ 18.5% ของจำนวนประชากร
กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ ฉบับที่สาม พ.ศ.2565 – 2570 ให้สอดคล้องตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก “WHO Framework Convention on Tobacco Control” (FCTC) ที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นรัฐภาคี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ในการควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non Communicable Diseases-NCD) ที่กำหนดว่า
ในปี 2568 อัตราการสูบบุหรี่ของประชากร อายุ 15 ปีขึ้นไป ต้องลดลง 30% หรือไม่เกิน 15% กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา จึงได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริการช่วยเลิกบุหรี่ ในสถานพยาบาลขึ้น เพื่อพัฒนาระบบบริการการเลิกบุหรี่สำหรับสถานพยาบาล และส่งเสริมให้ประชาชนเลิกบุหรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนายแพทย์ธวัช ลาพินี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา กรมการแพทย์ กล่าวว่า โรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา กรมการแพทย์ มีหน้าที่ให้การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาและสารเสพติด ในเขตสุขภาพที่ 12 และจังหวัดสงขลา จากสถิติของโรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา ปี พ.ศ.2563-2565
พบว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดรักษายาและสารเสพติด มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ร่วมด้วยมีสัดส่วน53.08%, 55.00% และ 57.60% และประสงค์เข้ารับบริการช่วยเลิกบุหรี่มีสัดส่วน 2.14% , 1.41% และ 1.12% ตามลำดับ
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กลุ่มภารกิจพัฒนาระบบสุขภาพดำเนินการพัฒนาระบบบริการช่วยเลิกบุหรี่ ในสถานพยาบาลขึ้น โดยจัดรูปแบบการให้บริการเลิกบุหรี่ด้วยระบบบูรณาการ 5A ดังนี้ ได้แก่ Ask (สอบถามประวัติ) Advise (แนะนำให้เลิกบุหรี่) Assess (ประเมินการติดบุหรี่) Assist (ช่วยให้เลิกบุหรี่) Arrange (ติดตามการเลิกบุหรี่)
แพทย์หญิงปิยนันท์ สงห้อง รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา กรมการแพทย์ กล่าวอีกว่า สำหรับการจัดรูปแบบการให้บริการเลิกบุหรี่ด้วยระบบบูรณาการ 5A นั้น เพื่อพัฒนาระบบบริการช่วยเลิกยาสูบ กลุ่มโรคทางยาเสพติด พัฒนาศักยภาพบุคลากร ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดนิโคติน พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยนิโคติน และต่อยอดเกณฑ์ การประเมินการบริการต้นแบบการประเมินมาตรฐานสถานพยาบาลปลอดบุหรี่