นายพิษณุ แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 19% ของประชากรทั้งหมด ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์" (Aged Society) already โดยคาดการณ์ภายในปี 2573 จำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องและมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด กลายเป็น "สังคมสูงอายุระดับสุดยอด"(Super-Aged Society) และยังพบแนวโน้มคนไทยอายุยืนมากขึ้น ฉะนั้น JSP จึงเข้ามาจับตลาดกลุ่มนี้อย่างเต็มรูปแบบ
โดยปี 2567 ได้ปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ด้วยการเพิ่มงบการตลาด 20% จากปี 2566 รวมเป็น 50 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นไปยังตลาดกลุ่มผู้สูงวัยเป็นหลักซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 80% ถัดมาคือกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งในครึ่งปีแรกของปี 2567 ได้ใช้งบการตลาดไปแล้ว 10 ล้านบาท และได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าผู้สูงวัยเกิรกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ 5 เดือนแรก บริษัทมียอดขายประมาณ 300 ล้านบาท และจากแนวโน้มที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทปรับเป้าหมายยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาท
ทั้งนี้ JSP จะไม่เน้นการตลาดแบบขายสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่จะขยายไปสู่ภาคบริการ ด้วยการยกระดับบริการของธุรกิจในเครือที่มีอยู่ให้กลายเป็นตัวทำรายได้ที่สำคัญของบริษัทควบคู่กันไป เริ่มจากเน้นการนำสินค้าเข้าไปขายผ่านบริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด จำกัด (GWM) บริษัทลูกของ JSP ที่ดำเนินธุรกิจโรงงานผลิตน้ำยาล้างไต (A-B Solution) เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำยาสำหรับผู้ป่วยฟอกไต เครื่องฟอกไตเทียม เข็มต่อสายฟอกเลือด และอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเลือด
นอกจากนี้ GWM ยังถือหุ้นในบริษัท วารี เมดิคอล จำกัด ดำเนินธุรกิจการติดตั้งระบบน้ำ และจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องกรองน้ำและติดตั้งระบบน้ำบริสุทธิ์ให้ศูนย์ฟอกไตของ GWM และลูกค้าทั่วไป โดย JSP จะใช้กลยุทธ์การผลิตอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคไตโดยเฉพาะ เพื่อไปวางจำหน่าย ในศูนย์ฟอกไตที่ GWM มีเครือข่ายอยู่ในปัจจุบันมากกว่า 100 ศูนย์
"คนไทยป่วยเป็นโรคไตหรือไตเสื่อมประมาณ 1 ล้านคน ในจำนวนนี้ 2.2 แสนคน อยู่ในระยะสุดท้าย เข้ารับการฟอกไต 7 หมื่นคน -1 แสนคน โดยศูนย์ฟอกไตในประเทศไทยมีอยู่เพียง 1,200 แห่ง ในขณะที่ความต้องการมีมากกว่า 2,000 แห่ง นอกจากนี้บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังไม่เพียงพอและมีความต้องการอีกเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันผู้ป่วยโรคไตมีความยากลำบากในการเลือกบริโภคอาหาร และการบริโภคอาหารได้ไม่กี่ประเภท ทำให้เกิดความจำเจ ซึ่งงานวิจัยจากต่างประเทศพบว่าการบริโภคอาหารมีผลต่อจิตใจของผู้ป่วย ฉะนั้น JSP ก็มีแผนที่จะผลิตอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไต ที่มีรสชาติถูกปากคนไทย เพื่อมาช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีสภาพจิตใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น"
นอกจากนี้ JSP จะดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างความยั่งยืนในสังคม ผ่านการเจาะกลุ่มแพทย์ที่มีความสนใจและมีศักยภาพในการเป็นศูนย์ฟอกไต ด้วยการทำธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์เกี่ยวกับศูนย์ฟอกไต น้ำยาฟอกไต และเวชภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยการดำเนินธุรกิจรูปแบบนี้จะทำให้ JSP สามารถเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของ JSP ได้ ขณะเดียวกันยังช่วยให้ประเทศไทยมีคลินิกฟอกไตมากขึ้น สามารถอยู่ใกล้ชิดชุมชน อำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับผู้ป่วยได้ และหากกลยุทธ์ของ JSP ช่วยให้ชุมชนมีคลินิกฟอกไตได้อย่างทั่งถึง ก็จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับการดูแลผู้ป่วยได้อย่างมาก
นายพิษณุ กล่าวว่า บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด ยังตั้งเป้ารายได้จากการผลิตนำยาฟอกไตและเครื่องมือแพทย์ปี 2567 จำนวน 150 ล้านบาท ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมศูนย์ไต 120 แห่ง มีเพิ่มขึ้นจาก ปี 2566 ที่มี 100 ศูนย์ คิดเป็น 10 % ของศูนย์ฟอกไตทั่วประเทศไทย โดยตั้งเป้าจะขยายศูนย์ฟอกไตเพิ่มขึ้น 10% จากยอดเดิมในทุกๆ ปี และบริษัทยังมีแผนมีเป้าหมายนำ บริษัท เกรซ วอเทอร์ เมด เข้าจะจดทะเบียนในตลาด LiVEx ในปี 2568
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายโมเดล “ตู้ยาเวนดิ้ง” จากปัจจุบันที่ดำเนินการติดตั้งไปแล้ว 140-160 ตู้ ตามพื้นที่คอนโดระดับ B จนถึง B+ และภายในไตรมาส 3 ปี 2567 ช่วงเดือน กรกฎาคม-สิงหาคมนี้ จะติดตั้งให้ได้รวม 200 ตู้ โดยพื้นที่หลักจะยังคงเป็นในกรุงเทพฯ ที่มีทราฟฟิกคนเดินผ่านไม่ต่ำกว่า 500 คน/วัน เป็นโมเดลแบบเช่าพื้นที่ในรัศมี 300-400 เมตร ที่ไม่มีร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อ หากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จจะขยายตู้ยาเวนดิ้งเพิ่มให้ถึง 1,000 ตู้ ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้