ผู้ช่วยศาสตราจารย์(พิเศษ) นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคลมชักเป็นโรค เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นต่อเนื้อสมอง มีทั้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดหรือโดยพันธุกรรม การเจริญของเนื้อสมองผิดปกติ ระหว่างเติบโต สารเคมีในสมองผิดปกติแต่กำเนิด หรือเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในภายหลัง
อาทิ ภาวะทุพโภชนาการ ความผิดปกติต่อสมองระหว่างตั้งครรภ์หรือระหว่างคลอด อุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่เนื้อสมอง การอักเสบติดเชื้อในสมอง โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการชักได้
แพทย์หญิงทัศนีย์ ตันติฤทธศักดิ์ รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า อาการของโรคลมชักที่คนทั่วไปรู้จักดีที่สุดคืออาการเกร็งกระตุกทั้งตัว แต่แท้จริงแล้วอาการชักมีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น อาการเหม่อนิ่ง กระพริบตาถี่ๆ เป็นระยะเวลาสั้นๆ เคี้ยวปาก แลบลิ้น ทำปากขมุบขมิบ ขยำมือ ตาเหลือก คอบิด แขนหรือขาเกร็งหรือกระตุกซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย อาการตัวอ่อนล้มลงไป อาการใจสั่น หรืออาการขนลุกไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น
ทุกรูปแบบของอาการลมชักจะหยุดเองได้ในระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที โดยอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการชักมักไม่ใช่เกิดจากอาการของโรคโดยตรง แต่อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น พลัดตกหกล้ม จมน้ำ ตกจากที่สูง หรืออุบัติเหตุจากยานพาหนะ เนื่องจากไม่สาราถควบคุมตัวเองหรือหมดสติขณะมีอาการชัก นอกจากนี้ อุบัติเหตุขณะขับรถที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ก็มีสาเหตุมาจากอาการชักด้วยเช่นกัน เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคลมชักที่ยังควบคุมอาการชักได้ไม่ดีควรงดการขับขี่ยวดยานพาหนะ ตลอดจนหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักรหรือกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และทรัพย์สินได้
ผู้ป่วยโรคลมชักควรได้ดรับการรักษาจนไม่มีอาการอย่างน้อย 1 ปี กฎหมายจึงจะอนุญาตให้ขอมีใบอนุญาตขับขี่ได้ และสำหรับประชาชนทั่วไป หากมีโอกาสพบเห็นผู้ป่วยมีอาการชักในที่สาธารณะควรให้การช่วยเหลือให้ถูกวิธี “ไม่งัด ไม่ง้าง ไม่ถ่าง ไม่กด ไม่ทั้งหมด ชักหยุดเอง แค่ดูแลให้ชักอย่างปลอดภัย” และอยู่ปฐมพยาบาลให้ความช่วยเหลือจนผู้ป่วยหยุดชักและรู้สึกตัวเต็มที่