โรคลมชัก เป็นโรคทางระบบประสาทในเด็กที่พบบ่อย ซึ่งเกิดจากการทำงานที่ปกติของสมอง โดยเด็กจะมีอาการเกร็ง กระตุก เหม่อลอย อาจจะรู้ตัวหรือไม่ก็ได้ หากไม่รีบรักษาจะส่งกระทบต่อพัฒนาการของเด็กทำให้ล่าช้า ถดถอย อีกทั้งยังส่งผลต่อการเข้าสังคม และการเรียน
นายแพทย์ศุภชัย เลาหพงศ์สมบูรณ์ กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา โรงพยาบาลเวชธานี บอกว่า โรคลมชักในเด็กเกิดจากคลื่นไฟฟ้าสมองทำงานผิดปกติจนทำให้เกิดอาการชัก ซึ่งปัจจุบันมีทั้งทราบสาเหตุและไม่ทราบสาเหตุ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของสมอง เช่น สมองได้รับบาดเจ็บจากการขาดออกซิเจน อุบัติเหตุกระทบกระเทือนศีรษะ การติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรียที่ระบบประสาท
สาเหตุของโรคลมชักสามารถเกิดได้ตั้งแต่ช่วงก่อนคลอด , ระหว่างคลอด และหลังคลอด
อาการชัก มีหลายรูปแบบ แบ่งง่ายๆ เป็น
1. อาการชักที่มีอาการให้เห็นชัดเจน เช่น เกร็ง กระตุก
2. อาการชักที่ไม่มีอาการชัดเจน เช่น เหม่อ ภาวะรู้สึกผิดปกติ การหยุดทำกิจกรรมกระทันหัน เป็นต้น ซึ่งชักลักษณะนี้ สังเกตุได้ยาก ผู้ป่วยมักจะมาด้วย อาการง่วง สัปปะหงก บ่อย ผลการเรียนลดลง
ดังนั้น ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
แนวทางการรักษาโรคลมชัก 60-70% สามารถควบคุมและรักษาหายได้ด้วยยา แต่แพทย์จะต้องวินิจฉัยก่อนว่าเป็นโรคลมชักที่มาจากสาเหตุใดเพื่อให้การรักษาอย่างถูกต้อง ปัจจุบันมียากันชักหลายชนิด โดยการเลือกใช้ยากันชัก แพทย์จะเป็นคนพิจารณาเลือกยาตามประเภทของชัก อายุของผู้ป่วย และ สาเหตุของโรคลมชัก
ส่วนการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น อาหารคีโต (ketogenic diet), ยาสเตียรอยด์, ยาวิตามินขนาดสูง สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการใช้ยา อาจต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด เช่น การฝังเครื่องกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส การผ่าตัดสมอง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการของลูกหากมีอาการเกร็ง กระตุก เหม่อลอย เรียกแล้วไม่รู้สึกตัว หรืออาการที่สงสัยชัก ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยหาสาเหตุโรคและการทำการรักษาอย่างทันท่วงที