“โรคพาร์กินสัน” คืออะไร ทำไมแอโรบิกจึงลดความเสี่ยงได้

29 ก.ค. 2567 | 09:56 น.

ม.มหิดล แนะผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ออกกำลังกายแบบแอโรบิกช่วยได้ ต่อลมหายใจและชีวิต เพิ่มสมดุลร่างกาย ลดความเสี่ยง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กภ.เฟื่องฟ้า ขอบคุณ อาจารย์ประจำกลุ่มสาขาวิชากายภาพบำบัด คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อาการสำคัญของ “โรคพาร์กินสัน” คือ การเคลื่อนไหวที่ช้าลง ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการเสื่อมของเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้จากผู้ที่เคยมีการเคลื่อนไหวที่ปกติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องประสบกับการเคลื่อนไหวช้า ร่วมกับอาการสั่นขณะพัก อาการแข็งเกร็ง ปัญหาการทรงตัว และการเดินที่ผิดปกติโดยไม่รู้ตัว

เดิมพบว่า “โรคพาร์กินสัน” เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ในเบซัลแกงเกลีย (Basal Ganglia) ที่สร้างสาร “โดปามีน” ทำให้เกิดการ “ขาดสมดุล” ของวงจรประสาทที่เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้น และยับยั้งการเคลื่อนไหวของร่างกาย

แต่ปัจจุบันมีการค้นพบเพิ่มเติมว่า “ความเสื่อมของระบบประสาทอัตโนมัติส่วนปลายที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้” ซึ่งทำให้เกิด “อาการท้องผูก” อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนถึงอาการเริ่มต้นของ “โรคพาร์กินสัน”

“โรคพาร์กินสัน” มีอาการแสดงที่แตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของโรค ซึ่งการพิจารณาให้การรักษา และกายบำบัดด้วย “การออกกำลังกาย” อาจมีข้อจำกัดหากเกิดอาการโรคร่วมอื่น เช่น “ความดันโลหิตสูง” และ “โรคหัวใจ”

โดยการออกกำลังกายนอกจากจะมีส่วนช่วยให้สมองหลั่ง “สารโดปามีน” ให้จิตใจเป็นสุข และเกิดสมดุลของวงจรประสาทแล้ว หากเป็น “การออกกำลังกายแบบแอโรบิก” จะดีต่อทั้งหัวใจ และเสริมสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยให้มีการเคลื่อนไหวที่สมดุลมากขึ้น

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กภ.เฟื่องฟ้า ขอบคุณ

จากการศึกษาพบว่า การฝึกเดินร่วมกับการใช้สื่อนำ (cue) หรืออุปกรณ์ การฝึกเคลื่อนไหวลมปราณแบบจีน รวมทั้งการฝึกเคลื่อนไหวตามจังหวะเพลง สามารถช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคพาร์กินสันที่มีอาการแรกเริ่ม ก่อนเกิดอาการรุนแรงได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กภ.เฟื่องฟ้า กล่าวอีกว่า การออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันแบบแอโรบิก ด้วยการเดินบนลู่วิ่งไฟฟ้า หากควบคู่กับการเดินบนพื้นราบ  จะทำให้การเดินของผู้ป่วยมีความเป็นธรรมชาติ มากกว่าการให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันฝึกเดินด้วยลู่วิ่งไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

ซึ่งการเดินแบบธรรมดา เป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ใช้เพียงรองเท้าและเสื้อผ้าแบบสบายๆ โดยสามารถทำได้ทั้งในร่ม และกลางแจ้ง ทั้งนี้การเดินแม้เป็นวิธีการที่ง่าย และประหยัด แต่อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการล้มในกลุ่มผู้ป่วยโรคพาร์กินสันระดับความรุนแรงปานกลาง หรือค่อนข้างมาก

เมื่อเทียบกับ “ธาราบำบัด” ที่แม้มีข้อดีตรงที่ใช้ “น้ำ” ช่วยพยุงข้อต่อ และ “ลดแรงกระแทกขณะเคลื่อนไหว” แต่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแล ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เสี่ยงต่อการลื่นล้มระหว่างการขึ้นลงสระ สำลักน้ำระหว่างฝึก หรือติดเชื้อที่ผิวหนังหากเป็นแผล

อย่างไรก็ดี Parkinson Foundation แห่งสหราชอาณาจักร ร่วมกับ The American College of Sports and Medicine ได้แนะนำการออกกำลังกายแบบแอโรบิกสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสันว่า ควรทำอย่างต่อเนื่องรวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ จากการออกกำลังกายวันละ 30 - 60 นาที จำนวน 3 - 5 วันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ควรฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว ความคล่องตัว ฝึกกิจกรรมต่างๆ และยึดกล้ามเนื้อร่วมด้วย

ตัวอย่างการออกกำลังกายผู้ป่วยสูงวัยโรคพาร์กินสัน ระยะต้น - ปานกลาง ซึ่งเข้ารับการบำบัดด้วยปัญหาการเดินที่ไม่คล่องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องหมุนหรือเปลี่ยนทิศทาง จากการให้ผู้ป่วยได้ฝึกการเคลื่อนไหว การทรงตัว การเดิน ตลอดจนเพิ่มความแข็งแรง - ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ต่อเนื่อง 4 - 8 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น คุณภาพการเดินที่ดีขึ้น การหมุนตัวและก้าวเดินเป็นธรรมชาติมากขึ้น จนลดความถี่ในการเข้ารับการทำกายภาพบำบัด และได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวในวันหยุดได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

เคล็ดลับการฝึกที่น่าสนใจ อาทิ การเพิ่มความก้าวหน้าของการฝึกทรงตัว ผ่านการจินตนาการทำท่าคล้ายปาลูกบอลข้างหน้า เพื่อสร้างความเพลิดเพลินระหว่างการฝึกจังหวะและความเร็วในการเดินโดยใช้เสียงกำกับ ตลอดจนฝึกเปลี่ยนทิศทางการเดินทั้งแบบกำหนดจุด และไม่กำหนดจุด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน