“Disrupt” ยกระดับเฮลท์แคร์สังคมสูงวัย ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพเยอรมัน

12 พ.ย. 2567 | 11:04 น.
อัปเดตล่าสุด :12 พ.ย. 2567 | 11:41 น.

“Disrupt” เดินหน้ายกระดับระบบนิเวศ Healthcare ประกาศความสำเร็จ เข้าลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ด้านพันธมิตรร่วมลงทุนกองทุน Disrupt Health Impact Fund เตรียมขับเคลื่อนเครือข่ายลงทุนเพิ่ม สอดรับการก้าวสู่สังคมสูงวัย

นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures กล่าวว่า มูลค่าเศรษฐกิจโลกในปี 2586 คาดการณ์จะเติบโตถึง 100 ล้านล้าน ($100 trillion) เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,379 ล้านล้านบาท โดยมี Healthcare เป็นหนึ่งใน 3 ตัวขับเคลื่อนหลัก จากสังคมสูงวัยและแนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยพลเมืองโลกที่มีอายุยืนขึ้น ผนวกกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก และนำไปสู่การพลิกโฉมทางการแพทย์

นอกจากนี้ ตลาดการดูแลตัวเอง หรือ Self-care เป็นตลาดต้องจับตามอง ทั้งจากการผลักดันแนวคิดการดูแลสุขภาพโดยเน้นคุณค่า หรือ Value - Based Health Care ของหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ตลาด Self-care medical device ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตจาก 24.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($24.4 Billion) หรือประมาณ 825 พันล้านบาท ในปี 2566 เพิ่มเป็น 42.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($42.6 Billion) หรือประมาณ 1,440 พันล้านบาท ในปี 2575 

“Disrupt” ยกระดับเฮลท์แคร์สังคมสูงวัย ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพเยอรมัน

ล่าสุด Disrupt ได้ประกาศความสำเร็จการเข้าลงทุนในบริษัท “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกาย โดยไม่ต้องเจาะเลือด เป็นการลงทุนที่จะสร้างโอกาส สร้างการเติบโตในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ เพราะการตรวจวัดค่าน้ำตาลเป็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ต้องการมากในตลาด และมีมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยและกลุ่มคนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็นโซลูชันที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก

นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ หรือ Disrupt และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า การลงทุนกับ “DiaMonTech” เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับกับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก เพราะเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษา และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้

ขณะที่ประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานมากถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เชื่อว่าเทคโนโลยีของ DiaMonTech จะช่วยให้การ self-care เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น และยังได้ข้อมูลที่จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้ดีขึ้น สร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อชีวิตผู้คน ทั้งกลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มคนทั่วไปในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน 

“Disrupt” ยกระดับเฮลท์แคร์สังคมสูงวัย ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพเยอรมัน

นางสาวณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า ทางกองทุน Disrupt Health Impact Fund จะเฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย และคัดเลือกเพียง 97 รายที่ตรงกับเกณฑ์ ก่อนคัดกรองเหลือเพียง 49 รายและนำไปวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการลงทุน และมี DiaMonTech เพียงรายเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนมากของทั้งผู้บริหารกองทุน ทั้งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทางเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์และวิศวกรรมจากทางมหาวิทยาลัยมหิดล

สำหรับเหตุผลหลักที่เลือกลงทุนกับ DiaMonTech เพราะเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและเลียนแบบยาก เจ้าของสิทธิบัตรพัฒนามาจากงานวิจัยกว่า 10 ปีของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ และจากการศึกษาตลาดเครื่องวัดกลูโคสทั่วโลกพบว่า หลายบริษัทได้พยายามคิดค้นวิธีการวัดระดับกลูโคสในร่างกายแบบไม่ต้องเจาะเลือด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี แต่ความท้าทายหลักคือการตรวจวัดที่แม่นยำเทียบเท่ากับการเจาะเลือด”  

นางสาวณรัณภัสสร์ กล่าวว่า วิธีการของ DiaMonTech มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นการวิจัยแบบการศึกษาไปข้างหน้า หรือ prospective study และผลวิจับยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการระดับโลกอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจว่าการสนับสนุน DiaMonTech จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูง

ด้าน นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech กล่าวว่า เครื่องวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด หรือ D-pocket ขณะนี้กำลังอยู่ช่วงขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนนำออกสู่ตลาด การได้รับเงินลงทุนและความร่วมมือจากกองทุน Disrupt Health Impact Fund 

“Disrupt” ยกระดับเฮลท์แคร์สังคมสูงวัย ลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพเยอรมัน

ทั้งนี้ เป็นโอกาสและจังหวะที่ดีมากสำหรับ DiaMonTech ในการขยายและเชื่อมต่อโอกาสในการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน และกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในประเทศไทย เพราะทางกองทุนไม่เพียงแต่ให้เงินลงทุน แต่ยังมีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Healthcare ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในไทยและในภูมิภาค รวมทั้งแพลตฟอร์มระบบนิเวศของ Disrupt  ซึ่งจะช่วยให้ DiaMonTech สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวเข้าไปถึงผู้คนได้มากขึ้นและเร็วขึ้น 

ขณะที่กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีเป้าหมายลงทุนระยะแรกราว 17 – 50 ล้านบาทต่อ 1 บริษัท โดยในช่วง 3 – 5 ปีจากนี้ มีแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยนโยบายลงทุน 5 ด้าน คือ การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง (Self Care) เวชศาสตร์ป้องกันโรค (Preventive Care) ผู้สูงวัย (Silver Age) การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) และ โรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) โดยเฟ้นหานวัตกรรมระดับโลกในระยะออกสู่ตลาดแล้ว (Commercialized) หรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ในด้านของนักลงทุน 

ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุนรวม 7 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 รายซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health & Wellness ที่ต้องการร่วมกันต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนตรงในบริษัทที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ กองทุนยังคงเปิดรับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุนในกองทุน รวมทั้งยังคงมองหาและพิจารณาบริษัท DeepTech ด้าน Healthcare เพื่อเข้าร่วมลงทุน