ตลาด “คอลลาเจน” แข่งดุ เข้าสู่ยุคคัดตัวจริง

14 ต.ค. 2564 | 10:24 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ต.ค. 2564 | 17:47 น.

จับตา ตลาด "คอลลาเจน" สุดร้อนแรง ตลาดเล็กลงแต่มูลค่ามหาศาล “อินเตอร์ ฟาร์มา”ชี้เข้าสู่ยุคคัดตัวจริง แบรนด์ไร้คุณภาพทยอยตายจากตลาด เหตุผู้บริโภคเลิกตามดารา หยุดเชื่อเซเลปบริตี้ หันซบโภชนเภสัชอาหารเสริมกึ่งยา

แม้จะอยู่ในยุคที่คนต้องใส่หน้ากากแต่ตลาดความงามของไทยไม่เคยหยุดเติบโต ข้อมูลจากEuromonitor พบว่าในปี 2016ตลาดความงามมีมูลค่า 1.56 แสนล้านบาท  ปี2017 มูลค่า 1.787 แสนล้านบาท ปี2018มูลค่า 2.04 แสนล้านบาท ปี2019 มูลค่า 2.18 แสนล้านบาท  และปี 2020  มูลค่า 2.27 แสนล้านบาท ชี้ให้เห็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง



 

อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมาหลังเกิดโควิด 19 และทำให้ผู้บนิโภคต้องหันมาใส่หน้าอนามัยเพื่อป้องกันโรค ส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดสุขภาพความในบางเซกเมนต์อาทิ เครื่องสำอาง สกินแคร์ ที่ตัวเลขไปถึง 11% และเซกเมนต์เมกอัพติดลบหนักถึง 30% ในปี 2020 

 

ในขณะที่บางเซกเมนต์เผชิญหน้ากับความท้าทายและตกอยู่ในภาวะติดลบ  กลุ่มอาหารเสริมสุขภาพและความงามกลับสร้างการเติบโตที่โดดเด่น โดยเฉพาะเซกเมนต์วิตามินบำรุงผิว บำรุงสมอง ช่วยให้นอนหลับง่าย ผ่อนคลายความเครียด รายงาน Coherent Market Insight องค์กรด้านการตลาดและบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในปี 2020 อาหารเสริมบำรุงสมองและผ่อนคลายความเครียดมียอดจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นถึง 8.5% หรือคิดเป็นมูลค่า 7,038 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเพิ่มต่อเนื่องไปอีก 6 ปีข้างหน้า หรือประมาณ พ.ศ. 2570 

 

 

ในขณะที่ประเทศไทยตลาดวิตามินและอาหารเสริมปี 2020 มีมูลค่า 25,269 ล้านบาทที่เติบตัวเลขเฉลี่ย 8%  โดยตลาดที่กินส่วนแบ่งมากที่สุดคือ ตลาดคอลลาเจน  ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์จาก Grand View Research ที่ระบุว่าแม้ว่า 15% ของคอลลาเจนทั้งหมดจะถูกนำไปใช้ในด้านความงาม แต่จริง ๆ แล้วคอลลาเจนยังช่วยเรื่องสุขภาพของระบบไขข้อต่าง ๆ ในร่างกายอีกด้วย ส่งผลให้อุตสาหกรรมคอลลาเจนเติบโตสูงขึ้น 5.9% ต่อปี และเมื่อหันมาดูสถิติการเสิร์ชหาคำว่า “Collagen” ใน Googleจะพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2017เป็นต้นมา มียอดการเสิร์ชเพิ่มสูงขึ้นถึง 212% เลยทีเดียว ตอกย้ำว่า คอลลาเจน ยังคงเป็นตลาดที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม


ดร.ตฤณวรรธน์ ธนิตนิธิพันธ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน)หรือ IP เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19  ทำให้คนสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น รวมถึงเรื่องของการป้องกันโรคต่างๆทั้งของตัวเองและครอบครัวส่งผลกระทบเชิงบวกให้กับบริษัทยาและบริษัทอาหารเสริมต่างๆ ซึ่งตลาดก็มีการเติบโตทั้งประเทศไทยและทั่วโลก

 

“ตลาดคอลลาเจนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ณ ตอนนี้  เพราะคนให้ความสนใจเยอะ อย่างน้อยๆต้องเคยซื้อมาลองกิน   แม้ว่าตลาดความงามกลุ่มเครื่องสำอางไม่ค่อยโต แต่เวชสำอางและโภชนเภสัชกำลังเติบโต ผู้บริโภคเองก็ไม่ได้ซื้อตามแบรนด์และไม่ได้อยากจะซื้อตามดารา แต่อยากซื้อตัวที่เป็นเวชสำอางและโภชนเภสัช เพราะตัวเวชสำอางและโภชนเภสัชคือทานแล้วออกฤทธิ์ได้จริงไม่ใช่แค่ความรู้สึก 

 

มูลค่าตลาด คอลลาเจน ปัจุบันน่าจะอยู่ที่ราวๆ  5 พันล้านบาท รวมทุกยี่ห้อตั้งแต่แบรนด์เล็กไปจนถึงแบรนด์ใหญ่เพราะยังคงเป็นกระแสอยู่และเมื่อมีกระแสก็ทำให้ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่ามูลค่าตลาดจะอยู่ที่ 5 พันล้านบาททุกปี เมื่อกระแสตกจากคนที่ลองกินแล้วไม่เห็นความแตกต่างก็เลิกกิน 

 

ดังนั้นมูลค่าตลาดจะขึ้นหรือลง  ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ที่ไม่ได้คุณภาพหายไปจากตลาด และการแข่งขันทางด้านราคา หลังจากนี้คาดว่าตลาดในไทยหลังจากนี้จะมีเอ็ดดูเคทมากขึ้นเรื่อยๆ และหันมาใช้คอลลาเจนที่มีงานวิจัยรองรับมากกว่า หมายความว่าตลาดอาจจะหดตัวลงแต่จะเหลือเฉพาะแบรนด์และสินค้าคุณภาพ”



 

สำหรับ อินเตอร์ ฟาร์มา เองจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจยาและโภชนเภสัช เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่บริษัทวางจำหน่ายไม่ได้อยู่ในระดับอาหารเสริมแต่เป็นอาหารเสริมกึ่งยาที่ใช้ได้ทั้งผู้บริโภคทั่วไป และใช้ในการรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาลเป็นผู้สั่งจ่าย ซึ่งอินเตอร์ ฟาร์มา น่าจะเป็นบริษัทเดียวที่สามารถขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและคอลลาเจน “โปรแบค อัลตร้า คอลลาเจน” ในโรงพยาบาลและคลินิกได้เนื่องจากมีผลวิจัยรองรับ

 

และในปีหน้า บริษัทมีแผนจะออกอาหารเสริงที่ช่วยให้เรื่องการพักผ่อน นอนหลับ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ CBD ออกสู่ตลาดอีกด้วย"



นอกจากอาหารเสริมคอลลาเจนที่วางจำหน่ายในตลาดปัจุบัน อีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังมาและอาจสร้างตื่นเต้นให้กับตลาดคอลลาเจน ในอาคตอันใกล้คือ อาหารเสริมคอลลาเจนมังสวิรัติโดยใช้ส่วนผสมของพืชไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้สีแดง มะเขือเทศ มะละกอ ส้ม บีทรูท แครอท ทับทิม สาหร่ายทะเล ฯลฯ  โดยในปีที่ผ่านมา คำว่า “Vegan Collagen” ถูกค้นหาใน Google สูงขึ้นถึง 755% เลยทีเดียว