เตือน กสทช.อนุมัติควบรวมทรู-ดีแทค ก่อนแล้วออกเกณฑ์บังคับเสี่ยงคุก

03 มิ.ย. 2565 | 10:13 น.
อัปเดตล่าสุด :03 มิ.ย. 2565 | 17:29 น.

วงการโทรคม ชี้บทสรุปโฟกัสกรุ๊ป ควบรวมทรู-ดีแทค 2 เวที ต่างสุดขั้ว ขณะที่ กสทช.”เมาหมัด” ตั้งอนุฯ 4-5 ชุด ศึกษาผลกระทบทุกมิติ หวังสร้างความชอบธรรมดีลควบรวม ทั้งที่มีอำนาจ อนุมัติ-ไม่อนุมัติ ควบรวม หากเข้าข่ายมีอำนาจเหนือตลาด เตือนอนุมัติควบรวมก่อนแล้วออกเกณฑ์เสี่ยงคุก

แหล่งข่าววงการสื่อสารโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ควันหลงอันสืบเนื่องมาจากการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ(ในวงจำกัด) หรือที่ “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)” เรียกว่าเวที "โฟกัส กรุ๊ป" ต่อกรณีการควบรวมทรู-ดีแทค ที่ผ่านไปแล้ว 2 เวที

เตือน กสทช.อนุมัติควบรวมทรู-ดีแทค ก่อนแล้วออกเกณฑ์บังคับเสี่ยงคุก

โดยผลสรุปที่ได้ดูจะ”ต่างกันสุดขั้ว” โดยเวทีแรกของการเปิดรับฟังความคิดเห็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่างเห็นพ้องไปกับดีลควบรวมกิจการทรู-ดีแทค โดยอ้างว่า จะทำให้บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมโตพอฟัดพอเหวี่ยงกับบริษัทสื่อสารผู้ให้บริการรายใหญ่ในตลาด ประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับบริการและมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา

 

ขณะที่อีกเวทีเป็นเสียงสะท้อนของผู้บริโภคและพลเมืองนั้นออกมาคัดค้านสุดลิ่ม ด้วยเห็นว่า”ผลแห่งการควบรวมทรู-ดีแทค  ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมอันดับ 2 และ3 ของตลาดที่ล้วนเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จะยิ่งมีแนวโน้มผูกขาดมีอำนาจเหนือตลาดเพิ่มขึ้นไปอีก จนส่งผลให้ตลาดโทรคมนาคมถอยหลังลงคลองไปหลายสิบปี ประชาชขนผู้บริโภคจะถูกมัดมือชกโขกค่าบริการตามมาอย่างแน่นอน”

ในส่วน กสทช.นั้น เข้าใจว่าคงกำลัง”เมาหมัด” หลังจากรับเผือกร้อนมาจาก กสทช.ชุดก่อน จึงตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตั้ง 4-5 ชุด เพื่อดำเนินการศึกษาผลกระทบจากดีลควบรวมทรู-ดีแทคในทุกมิติ คงหวังจะได้ตอบสังคมได้อย่างเต็มปาก หากต้องพิจารณาอนุมัติดีลควบรวมออกไปว่า ได้มีการศึกษากลั่นกรองผลกระทบอย่างรอบด้านแล้ว

 

ทั้งนี้ผู้คว่ำหวอดในวงการสื่อสารโทรคมนาคม และมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระแห่งนี้ ยังระบุชัดเจนว่า “ข้อเท็จจริงที่ทุกฝ่ายรวมทั้ง กสทช.ชุดปัจจุบันต้องตระหนักก็คือ กม.จัดตั้งคือ พรบ.กสทช.และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของ กสทช.นั้น เปิดทางให้ กสทช.ใช้วิจารณญาณ หรือพิจารณาว่า จะอนุมัติ-ไม่อนุมัติดีลควบรวมกิจการในลักษณะเช่นนี้ ได้หรือไม่ต่างหาก อย่าหลงประเด็น”

 

“พรบ.กสทช. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2561 และ ประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการเพื่อป้องกันมิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาดหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 นั้น ให้ กสทช.มีอำนาจหน้าที่เพียง 2 ภารกิจหลักเท่านั้น คือ “กำกับดูแล ให้ตลาดมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม การดำเนินการใดๆ ในอันที่จะไปกระทบต่อหลักการข้างต้นจะกระทำไม่ได้เลย กิจกรรมใดที่จะไปกระทบลดการแข่งขัน ทำให้ทางเลือกของผู้บริโภคลดลงจะกระทำไม่ได้เลย”

และหาก กสทช.เห็นว่าตลาดมีการผูกขาด หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีอำนาจเหนือตลาด หรือมีพฤติการณ์เอารัดเอาเปรียบผู้ใช้บริการ มีอำนาจเหนือตลาดกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ ทำให้ประชาชน.ผู้ใช้บริการถูกเอาเปรียบ  กสทช.ก็ต้องงัดกฎหมายที่มีเข้าไปกำกับดูแล ออกมาตรการกำกับดูแลทันที

 

ไม่ใช่ตีเนียนพิจารณาให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีอำนาจเหนือตลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดำเนินการควบรวมกิจการต่อไป ด้วยข้ออ้างไม่แน่ใจในอำนาจที่ตนเองมี ทั้งที่การควบรวมกิจการดังกล่าวไม่ต้องไปพิจารณาในมิติอื่น ก็เห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่า จะส่งผลต่อการลดการแข่งขัน และทำให้ยักษ์สื่อสารโทรคมนาคมราบนี้ มีอำนาจเหนือตลาด ซึ่งไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ใด กสทช.ก็ไม่สามารถพิจารณาอนุมัติให้ได้อยู่แล้ว  ต้องสั่งระงับโดยทันที

 

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ กสทช.กำลังดำเนินการอยู่เวลานี้ ไม่ว่าจะตั้งอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาผลกระทบในทุกมิติ หรือการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นแบบจำกัด หรือเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะที่จะนำไปสู่ข้ออ้างในการพิจารณาอนุมัติการควบรวมกิจการนั้นล้วนแล้วแต่เป็นแค่ “มหกรรมปาหี่” เพียงเพื่อหวังจะสร้างความชอบธรรมในการพิจารณาอนุมัติการควบรวมกิจการว่า ได้ดำเนินการอย่างรอบคอบ รัดกุมพิจารณาผลกระทบในทุกมิติแล้วเท่านั้น

 

แต่ปัญหาก็คือกฎหมายจัดตั้ง กสทช.คือ พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯปี 2562 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หาได้เปิดช่องหรือเปิดทางให้ กสทช.ใช้วิจารณญาณในการพิจารณาอนุมัติการควบรวมกิจการที่ว่านี้   ขณะที่การทำธุรกิจต้องการกำไร (Profit) หรือแสวงหากำไร จะไปล่ามโซ่ ล้อมคอก กักกันอย่างไร หากแม้มีโอกาสอันน้อยนิด มันก็ต้องเผยทาสแท้ตามธรรมชาติของมันออกมา

 

แม้ กสทช.จะไปออกมาตรการห้าม มาตรการที่ต้องดำเนินการก่อนควบรวมกิจการ หรือสกัดกั้นกันอย่างไร สุดท้ายเมื่อมีอำนาจผูกขาดเหนือตลาดไปแล้วธรรมชาติของการดำเนินธุรกิจที่ต้องการกำไรหรือแสวงหากำไรยังไงก็ต้องเผยออกมาวันยังค่ำจะล้อมคอกกันยังไงก็หนีธรรมชาติไม่พ้น

 

หากรัฐเปิดโอกาสให้มีการควบรวมทรู-ดีแทคไปแล้ว ต่อให้ออกมาตรการบรรเทา หรือมาตรการห้ามอย่างไร  สุดท้ายก็ห้ามไม่ให้ธุรกิจเหล่านี้ต้องแสวงหากำไรต้องหาทางเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคเพื่อแสวงหากำไรอันเป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจเมื่อมีโอกาสยังไงเขาก็ต้องทำ

 

โดยท่าทีและพฤติการณ์ที่ กสทช.ส่งสัญญาณ ออกมาในเวลานี้ จึงทำให้ผู้คนในสังคมพากันตั้งข้อกังขาถึงกระบวนการสรรหา กสทช.ในช่วงที่ผ่านมา  รัฐบาลได้ใช้กลไก"อำนาจนอกระบบ"เข้าไปแทรกแซงกระบวนการสรรหา กสทช.หรือไม่  เพราะเหตุใด"ว่าที่ กสทช."บางคน"ที่ผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหาที่ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ท้ังสิ้นถึง 3 รอบ แต่กลับถูกที่ประชุมวุฒิสภาที่ "หักดิบ"โหวตล้มว่าที่ กสทช.บางคนออกไป  

 

ซึ่งมันจึงคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากมีใบสั่งหรือมือที่มองไม่เห็นล้วงลูกเข้าแทรกแซงกระบวนการสรรหา กสทช.มาตั้งแต่ต้น เพื่อส่งคนของตนเข้าไปแทนตัวบุคคลที่คณะกรรมการสรรหาได้ดำเนินการเลือกสรรเอาไว้แล้ว   หาไม่แล้วป่านนี้การพิจารณาดีลควบรวมกิจการครั้งนี้ คงถูกปิดประตูไปแล้ว ไม่มา "ขี่ม้ารอบค่าย"เพื่อหาช่องทางไฟเขียวสู่การควบรวมกิจการดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้

 

แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า คงต้องตอกย้ำไปยัง กสทช.ทั้ง 7 อรหันต์ที่กำลัง”เมาหมัด” รับแรงกดดันสารพัดจากรอบด้านอยู่ในเวลานี้ที่จะต้อง “ตั้งหลักปักฐาน”กันให้มั่น และต้องตระหนักในบทบาทอำนาจหน้าที่ที่แท้จริงขององค์กร กสทช.ว่าโดยพื้นฐานที่แท้จริงนั้นมีบทบาทอำนาจหน้าที่อย่างไร    ไม่ใช่ไปตั้งธงจะพิจารณาให้เขาควบรวมกิจการแล้วจะไปออกกฎเกณฑ์ ออกมาตรการบังคับก่อนรวบรวมกิจการ อย่างที่คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า(กขค.) เคย “ทำพลาด” มาแล้ว มีความเสี่ยงขึ้น "คุกตาราง”ตามมาเสียมากกว่า 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมบอร์ด กสทช. ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังศาลปกครอง เรียกตัวแทนจากสำนักงาน กสทช.เข้าชี้แจงคำร้องในวันที่ 5 มิ.ย.นี้ จากกรณีที่นายณภัทร วินิจฉัยกุล หนึ่งในกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือ ซูเปอร์บอร์ด ได้ยื่นคำร้องศาลปกครองกลางเมื่อ 5 พ.ค.2565 ที่ผ่านมา เรื่องการแก้ไขประกาศ กสทช. เกี่ยวกับการควบรวมกิจการระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กับบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค)

 

และขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉินไม่นำการแก้ไขประกาศของ กสทช. ปี 2561 มาบังคับใช้ เนื่องจากมีความไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ เช่น ประกาศในปี 2561 ขัดกับกฎหมายที่มีระดับใหญ่กว่าอย่าง พ.ร.บ. และยังขัดกับประกาศกสทช. ปี 2549 ที่ออกแบบเอาไว้ว่าการควบรวมจะต้องได้รับการอนุญาตไม่ใช่แจ้งเพื่อทราบต่อเลขาธิการ กสทช.ภายใน 60 วันเท่านั้น

 

ซึ่งผลจากการลงคะแนนบอร์ดมีมติ 3 ต่อ 2 ให้สำนักงานกสทช.เพิ่มถ้อยคำลงไปในคำชี้แจงต่อศาลปกครองเพิ่มเติมว่า "กสทช. มีหน้าที่ในการนำหลักเกณฑ์ของประกาศป้องกันการผูกขาด ปี 2549 และประกาศควบรวมธุรกิจ 2561 มาใช้ควบคู่กัน