ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็ก (GCNT) ได้ประเมินผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น หลังการประชุมด้านสิ่งแวดล้อม COP26 จบ โดยดูว่า จากเวทีการพูดคุยครั้งนี้ จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราหลายอย่าง เริ่มจาก
แนวโน้มหลักคือการเปลี่ยนแปลงไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นพาหนะหลัก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญคาดว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้าอาจถูกลงจนมีราคาเทียบเท่ากับรถยนต์เบนซินหรือดีเซลในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงทางเลือกอื่น ๆ เช่น การเช่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือตลาดมือสองที่กำลังเติบโตขึ้นซึ่งอาจเป็นวิธีเข้าถึงที่ถูกกว่า
หลายประเทศและบริษัทผลิตยานยนต์ได้ให้คำมั่นว่า จะเพิ่มการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ รถประจำทาง และรถบรรทุก ให้มากขึ้น ส่วนในระดับบุคลล สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้คือการใช้รถยนต์ให้น้อยลง และเพิ่มการเดินหรือปั่นจักรยานให้มากขึ้น
กว่า 40 ประเทศมีการลงนามเพื่อยกเลิกการใช้ถ่านหิน และหันไปใช้ตัวเลือกพลังงานสะอาดที่ยั่งยืนกว่าและราคาถูกกว่า สำหรับการจ่ายไฟผลิตพลังงานให้กับครัวเรือนและระดับธุรกิจโดยนี่คือการเดินหน้ามุ่งเปลี่ยนไปสู่การใช้พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ในการประชุมครั้งนี้ ยังไม่มีการยืนยันว่า ผู้ใช้ถ่านหินรายใหญ่ของโลกอย่างจีนและอินเดียจะยุติการใช้เมื่อไหร่
การสร้างบ้านเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แผงโซลาเซลล์และปั๊มความร้อนอาจกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมี การสร้างบ้านในยุคใหม่จะต้องคำนึงถึงทางเลือกที่ปล่อยคาร์บอนต่ำมากกว่าการใช้ซีเมนต์และคอนกรีตเหมือนปกติ
นอกจากนี้ อาจต้องมีการสร้างพื้นที่สีเขียวภายรอบบ้านให้มากขึ้นเพื่อดูดซับปริมาณน้ำฝน และการติดตั้ง "หลังคาเย็น" เพื่อป้องกันคลื่นความร้อนที่อาจสูงเพิ่มขึ้น รวมถึงบานหน้าต่างประตู โครงสร้างของบ้านที่ต้องสามารถรับมือกับลมพายุเฮริเคนได้
ในอนาคตเราอาจได้เห็นว่าการปล่อยคาร์บอนนั้นมีต้นทุน ผลิตภัณฑ์ที่มีกระบวนการเกี่ยวข้องกับคาร์บอนอาจมีราคาสูงขึ้นไปอีก โดยธุรกิจใหญ่ๆ ก็มีการปรับตัวโดยจะหันไปขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด เช่น IKEA, Amazon และ Unilever
กว่า 100 ประเทศได้ร่วมลงนามเพื่อหยุการตัดไม้ในอนาคต ทั้งนี้ ราคาอาหารอาจสูงขึ้นเนื่องจากอุตสาหกรรมอาหารเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องในการทำลายพื้นที่ป่า เช่น การส่งออกถั่วเหลืองแอมะซอนและเนื้อสัตว์
ส่วนสถาบันการเงินประมาณ 450 แห่ง ซึ่งควบคุมเงินประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ เห็นชอบที่จะสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการลงทุนต่าง ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงทำให้การลงทุนเพื่อความยั่งยืนในอนาคตเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
แน่นอนว่าการกำหนดเป้าหมายเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น การลงมือทำต่อจากนี้ต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า โดยผลกระทบจากภัยธรรมชาติเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้พวกเราหันมาเปลี่ยนความคิดและลงมาทำกันนับตั้งแต่วันนี้