รองศาสตราจารย์ ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และศูนย์ความเป็นเลิศด้านภูมิคุ้มกันบำบัดมะเร็ง กำลังวิจัยและพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด โดยมุ่งเน้นพัฒนาการรักษา 3 วิธีคือ เซลล์บำบัดมะเร็ง วัคซีนรักษามะเร็งเฉพาะบุคคล และยาแอนติบอดีต้านมะเร็ง (ยาภูมิต้านมะเร็ง) ซึ่งภูมิคุ้มกันบำบัดทั้ง 3 วิธีนี้ มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน สามารถใช้รักษาร่วมกัน และใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งด้วยวิธีการอื่นๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยในผู้ป่วยโรคมะเร็งเพื่อจะได้ทำการทดสอบในวงกว้างต่อไป” รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ กล่าว พร้อมย้ำความมั่นใจว่าการวิจัยการรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัดนี้จะเป็นความหวังที่ทำให้วงการแพทย์ไทยพิชิตโรคมะเร็งได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก
โรคมะเร็งเป็นสาเหตุที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับ 1 คือราว 80,000 คนต่อปี แนวโน้มสถิตินี้อาจจะยืนหนึ่งต่อไป เนื่องด้วยในแต่ละปี มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่กว่า 200,000 คน! เป็นผู้ป่วยในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็ก วัยทำงาน ไปจนผู้สูงอายุ
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยหลายคนมักรู้สึกหมดหวัง กลัวและกังวลว่าจะมีแนวทางรักษาที่ได้ผลหรือไม่ ผลข้างเคียงจะเป็นอย่างไร และจะเอาทุนค่าใช้จ่ายในการรักษาจากไหน อย่างไร คำถามเหล่านี้ทับถมทุกข์ที่ผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ไม่น้อยเลย ซึ่งศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย หวังจะเป็นหนึ่งในคำตอบให้ผู้ป่วยมะเร็ง
“โรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษายากเนื่องจากธรรมชาติของโรคมีความซับซ้อน การบำบัดรักษาจึงต้องบูรณาการความร่วมมือจากแพทย์หลากหลายสาขา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์จึงได้ก่อตั้ง “ศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร” คัดสรรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาวิชาต่างๆ ให้มาทำงานร่วมกันในการดูแลรักษาผู้ป่วยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด” รองศาสตราจารย์ ดร.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เผยที่มาของแนวคิดในการก่อตั้งศูนย์ฯ ซึ่งเปิดให้บริการมาแล้ว 7 ปีและมีจำนวนผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นทุกปี
ในการรักษาผู้ป่วยอย่างครบวงจรและได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ กล่าวว่าศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสหสาขาวิชาชีพมาทำงานร่วมกัน ใช้วิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ชั้นสูงเพื่อรักษาผู้ป่วยตามมาตรฐานระดับนานาชาติ รวมถึงนำนวัตกรรมใหม่ๆ อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ มาใช้ในการรักษา เช่น หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) เครื่อง MRI และเครื่องฉายรังสีด้วยอนุภาคโปรตรอน ซึ่งเป็นแห่งแรกในอาเซียน สามารถให้รังสีไปที่ก้อนมะเร็งได้อย่างแม่นยำ ลดปริมาณรังสีไปสู่อวัยวะรอบข้าง และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงจากการฉายรังสี
นอกจากการรักษาด้วยวิทยาการอันทันสมัยแล้ว ศูนย์ฯ ยังคำนึงถึงการดูแลผู้ป่วยในมิติอื่นๆ อย่างรอบด้าน อาทิ ให้คำแนะนำผู้ป่วยตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการรักษา ส่งเสริมสุขภาพระหว่างการรักษา ติดตามสุขภาพผู้ป่วยเมื่อจบการรักษา รวมทั้งให้ความสำคัญในเรื่องสิทธิการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสิทธิการรักษาอย่างเท่าเทียม ได้มาตรฐาน และครอบคลุมทุกสิทธิการรักษาอย่างดีที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อคลายความกังวลใจในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา
วิจัยยารักษาโรคมะเร็ง เพิ่มความหวังผู้ป่วย
รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ กล่าวถึงแนวทางมาตรฐานการให้ยารักษามะเร็งในปัจจุบันว่ามี 3 วิธี ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งแตกต่างกัน ดังนี้
นอกจากการบริการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแล้ว ศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร จุฬาฯ ยังมีบทบาทในด้านการสอนและอบรม โดยมีการสอนระดับบัณฑิตศึกษาหลักสูตรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพาะทางโรคมะเร็งในรูปแบบผสมผสานเพื่อให้เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมนานาชาติ
บทบาทสำคัญอีกด้านของศูนย์ฯ คือการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมหรือเทคโนโลยีระดับสูงเพื่อการวินิจฉัย การรักษา การพยากรณ์โรค และการทำนายผลการตอบสนองต่อการรักษาและนำมาใช้ในการยกระดับคุณภาพการรักษาพยาบาล เพื่อให้ผลงานวิจัยด้านโรคมะเร็งได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
“ศูนย์ฯ ยังทำหน้าที่ในการตรวจหายีนเกี่ยวกับโรคมะเร็งซึ่งเป็นการตรวจขั้นสูง ทำทะเบียนมะเร็งเพื่อที่จะรู้ว่าเรามีผู้ป่วยโรคมะเร็งชนิดไหนมากน้อยเพียงใด เพื่อเตรียมการดูแลและปรับการรักษาในอนาคตให้ถูกต้อง เหมาะสมและดีที่สุด” รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ กล่าวเสริม
ที่ผ่านมา ศูนย์ความเลิศทางการแพทย์โรคมะเร็งครบวงจร ได้มีการลงนามความร่วมมือกับ MD Anderson Cancer Center สถาบันผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็งระดับโลก ที่ตั้งอยู่ในเมืองฮุสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ระหว่างสถาบัน จัดการประชุมวิชาการทั้งด้านงานวิจัยและด้านงานบริการทางการแพทย์ รวมถึงการพัฒนางานบริการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อสร้าง “โครงข่ายข้อมูลผู้ป่วยโรคมะเร็ง” ในแต่ละโรงพยาบาลเพื่อให้บริการผู้ป่วยได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
รศ.ดร.นพ.วิโรจน์ แนะนำให้ผู้ป่วยมะเร็งดูแลตัวเองโดยเฉพาะด้านโภชนาการ รับประทานอาหารที่เหมาะสมและจำเป็นต่อร่างกาย และพบแพทย์เฉพาะทางที่มีเครื่องมือพร้อม มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีต่างๆ ที่เหมาะสมเพื่อวางแผนในการรักษาให้ได้ผลดีที่สุด เพราะ “การรักษาโรคมะเร็งที่ครบวงจรและครอบคลุมจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาโรคมะเร็งได้