ทนาย กับ ลูกความ มักจะได้อ่าน คำร้อง หรือ คำพิพากษา จนเข้าใจดีว่า “ผู้สืบสันดาน!” หมายถึง ทายาทผู้สืบสกุล หรือ ผู้ซึ่งอยู่ในฐานะที่จะรับตำแหน่งหน้าที่ต่อจากบุคคลอื่น ไม่ได้ถือสาหาความว่าหยาบคาย อย่างไรก็ตาม คงจะไม่มีใครภูมิใจเมื่อได้ยินผู้อื่นพูดถึงตนเองว่า “ไอ้สันดาน!” (ฮา)
เปิดพจนานุกรมเพื่อทบทวนนัยดูก็ได้ความชัดขึ้นว่า “สันดาน” หมายถึง “อุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด” เป็นความประพฤติเคยชินพื้นฐานดั้งเดิมที่ฝังอยู่ในกมลสันดาน ผมได้ดูคลิป พ่ออุ้มลูก อายุ 8 เดือน ลูกร้องให้งอแง พ่อก็ควักธนบัตรให้ 1 ใบ เธอไม่สนใจและยังงอแงไม่หยุด พ่อล้วงธนบัตรเพิ่มให้ 10 ใบ อาการงอแงของเธอหยุดกึ๊ก ยื่นมือรับธนบัตรทั้ง 10 ใบ เปลี่ยนสีหน้าหันมายิ้มแย้มแจ่มใสฉับพลัน ทัวร์ก็ลงคอมเมนท์ทันควันว่า “ชาติก่อนคงจะเป็นหัวคะแนนหรือไม่ก็เคยขายเสียงแน่เลย” (ฮา)
เรื่องทำนองนี้ไม่ได้เล่ากันเล่นๆ นะจะบอกให้ ผมเคยคลุกคลีอยู่กับครอบครัวที่สนิทกัน พ่อเขาเป็นคนที่เอาเปรียบคนอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นประจำ มันจึงมีอนุสตอรี่เอามาเล่าสู่กันฟังได้ว่า แม่แบ่งขนมให้ลูกคนละถ้วยเท่ากัน ทุกคนกินกันฉับไวเกลี้ยงถ้วย ลูกคนเล็กเอาไปวางไว้ในตู้เย็น เพราะจะเก็บเอาไว้กินมื้อค่ำ
ครั้นเมื่อเปิดตู้เย็นก็ไม่เจอถ้วยขนม ถามไปถามมาจึงรู้ว่าพี่คนโตจกเอาไปหม่ำซะแล้ว น้องถามพี่ว่ามาเอาของเขาไปกินทำไม พี่ตอบหน้าตาเฉยว่า “เอ้า เห็นตั้งเอาไว้เฉยๆ นึกว่าคงไม่กินแล้ว ก็เลยเอาไปกิน” (ฮา)
บ้านผมอยู่ใกล้วัดจึงมีโอกาสได้กินข้าววัดบ่อย เด็กวัดบางคนเจ้าเล่ห์พอๆ กับ ศรีธนญชัย หลวงพ่อท่านกลับมาจากการบิณฑบาต ก็ให้เด็กวัดรุ่นพี่เป็นคนเอาข้าวปลาอาหารออกจากบาตร เอามาเทใส่ไว้ในกาละมังแล้วค่อยนำมาเรียงไว้ในถาด กุฏิพระสร้างด้วยไม้ พื้นระเบียงกุฏิก็มีแผ่นไม้ที่มีรูใหญ่ เพราะตาไม้มันหลุดร่วงหายไป
หัวหน้าก๊วนเด็กวัดเขาก็มีเหลี่ยมในการยักยอกไข่เค็มเอาไว้กินเองคนเดียว เอาลูกแรกขึ้นมาดมดูแล้วก็วางไว้ในถาด เอาลูกที่สองขึ้นมาดมดู ก็ทำจมูกย่นบ่นอุบอิบว่า “เฮ้ย! ใครมันเอาไข่เค็มเน่ามาถวายพระวะเนี่ย” (ฮา)
ว่าแล้วก็ทิ้งผ่านรูโบ๋ของตาไม้หลุดหล่นลงไปที่พื้นดินใต้กุฏิ วันไหนได้มาหลายลูกเขาจะลักไก่ทิ้งสองลูกสามลูก เด็กวัดรุ่นน้องนั่งทำตาปริบๆ ไม่มีใครกล้าหือทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเท็จ สงสัยไอ้หมอนี่ชาติก่อน คงจะเป็นหัวคะแนนที่กินหัวคิวชาวบ้านแน่เลย (ฮา)
ไอ้ที่ผมเล่ามาเป็นวรรคเป็นเวรสามย่อหน้านี้ ยังไม่ใช่เนื้อหาหลัก มันเป็นเพียงคำนำเท่านั้นเอง (ฮา)
ก่อนอื่นบอกกันเหนียวไว้เลยว่า หลักที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นข้อสันนิษฐาน จะชี้ว่าใช่ก็ได้! จะจี้ว่าไม่จริงก็ไม่ผิด! เพราะว่าสิ่งที่เราเห็นนั้น บางคนเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ บางคนเอารูปแบบที่ซ่อนอยู่ (Hidden Style) มาสำแดงกลบเกลื่อนให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ที่กำลังตีวงเข้ามากดดันจนเขาเองต้องปรับตัวให้เข้ากับความผันแปรทำนองเดียวกับ กิ้งก่าเปลี่ยนสี
เรื่องนี้ไม่ใช่ข่าวใหม่เอี่ยม มันเป็นปรากฏการณ์ซ้ำซากทุกภพชาติ Guru สายเวไนยสัตว์ จึงชี้พฤติกรรมคนทั่วโลกว่า มีฟอร์มในการซ่อนเร้นสันดานเอาไว้ไม่น้อยกว่า 3 แบบ คือ “รับ ปกติ และ รุก”
ฟอร์มรับ จะวางตัวเงียบขรึม เก็บเนื้อสงวนตัวคล้ายเสือเฒ่าจำศีล อย่าคิดว่าเขาคงไม่มีไซยาไนต์ (ฮา) เขาอุตส่าห์เลี่ยงเราก็อย่าลองของ บทเขาจะรุกรับประกันได้ว่าเราจะไม่เหลือ DNA เอาไว้แพร่พันธุ์ก็เป็นได้ ใครจัดงานเลี้ยงอย่าเซ้าซี้ ฟอร์มรับ ขึ้นรองเพลงโดยไม่จำเป็น เชิญปุ๊บเขาจะลุกขั้นโบกมือกลับบ้านทันที (ฮา)
ฟอร์มรุก จะวางตัวร่าเริง ช่างพูดช่างคุย เข้าสังคมทุกรูกรูปแบบ อย่าเดาว่าเขาเป็นคนกันเองยังไงก็ได้ เขาอุตส่าห์แบ่งเวลาส่วนตัวมาแจมด้วย อย่าได้ตามไปรบกวนชวนเมาในบ้านเขาเป็นอันขาด เขาอาจจะไม่มีพิษแต่ชำเลืองดูสักนิดว่าแฟนเขาเป็น จงอาง หรือ อนาคอนด้า (ฮา) ใครจัดงานเลี้ยง โปรดระวังอีตาคนนี้ไว้ให้ดี พิธีกรเผลอปุ๊บเขาจะขึ้นปั๊บยึดไมค์ร้องซะ 5 เพลง ดูเวลาก็ดึกแล้ว VIP ทีรอคิวร้องโชว์ก็เลยอดร้อง (ฮา)
ฟอร์มปกติ จะวางตัว เหยียบแพ และ แหย่เรือ คือ เขาเองจะล่องแพดูลาดเลาไปเรื่อยๆ ถ้าสถานการณ์ดีก็จะปีนขึ้นเรือ ในใจก็ท่องคาถา “นั่งเรือแป๊ะต้องตามใจแป๊ะ” (ฮา) เมื่อไหร่แป๊ะพลาดท่า เขาจะกระโจนลงจากเรือดำน้ำมุดหลบเข้าใต้แพไปสักอึดใจ ลอยไปสักครู่แล้วค่อยโผล่ขึ้นมาดูว่าสถานการณ์คลี่คลายแล้วหรือยัง
ใครจัดงานเลี้ยง จะเชิญเขาร้องเพลงต้องบอกล่วงหน้า เขาจะร้องไม่ร้องแล้วแต่กาละเทศะ ถ้า “เฮียชู” นั่งยิ้มอยู่ในงานนั้นด้วย เขาอาจจะซุกอยู่ใต้แพไปเลยก็ได้ (ฮา)
คำถามที่ขอฝากไว้ให้คิดกันเล่น คือ ถ้าในองค์กรของท่านมีผู้ร่วมงานครบถ้วนทั้ง “รับ ปกติ และ รุก” ท่านจะวางตัวสไตล์ไหนถึงจะคงไว้ซึ่งความเป็น “มนุษย์ที่แท้”?